สรุปไอเดีย Markup Pricing วิธีตั้งราคาขายสินค้า ให้ได้อัตรากำไรชัวร์ ๆ 30% จากเคส ร้านคาเฟหมูเด้ง

สรุปไอเดีย Markup Pricing วิธีตั้งราคาขายสินค้า ให้ได้อัตรากำไรชัวร์ ๆ 30% จากเคส ร้านคาเฟหมูเด้ง

26 ม.ค. 2025
เคยสงสัยไหมว่า ? เวลาทำร้านอาหาร หรือร้านคาเฟ
ทำไมหลาย ๆ ร้านถึงขายดีมาก แต่กลับไม่ได้กำไร หรือได้กำไรน้อยนิดไม่คุ้มเหนื่อย 
หรือกรณีที่แย่ที่สุด คืออาจขาดทุนอย่างหนัก จนต้องเลิกกิจการไปเลย
ดังนั้น ถ้าเราจะทำธุรกิจร้านอาหาร วิธีแก้คือ เราต้องคำนวณต้นทุนให้แม่นยำมาก ๆ
เพื่อที่จะตั้งราคาให้เหมาะสม
ซึ่ง BrandCase มีวิธีง่าย ๆ เกี่ยวกับการคำนวณต้นทุนสินค้าแต่ละอย่าง
พร้อมกับตั้งราคาขาย ทั้งหมด 5 ข้อด้วยกัน นั่นคือ
1. คิดต้นทุนผันแปร คือ ต้นทุนวัตถุดิบ สำหรับทำอาหารโดยตรง
2. คิดต้นทุนคงที่ คือ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ใช้บริหารร้าน เช่น ค่าแรง, ค่าเช่าที่ และค่าใช้จ่ายจิปาถะ
3. คาดการณ์ยอดขายแบบง่าย ๆ เช่น ขายได้กี่ชิ้น, กี่แก้ว หรือกี่จาน
4. คำนวณหาต้นทุนรวมต่อชิ้น
5. ตั้งราคาขาย โดยอ้างอิงจากอัตรากำไรที่เราต้องการ
ทีนี้ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น เราลองมาดูตัวอย่าง ว่าถ้าอยากเปิดคาเฟ แล้วเราจะทำกำไรได้ชัวร์ ๆ +30% 
เราจะคิดราคาขายอย่างไร ?
เพื่อให้คิดง่าย ๆ ขอสมมติว่า ในร้านคาเฟมีสินค้าเพียงแค่ 2 อย่าง นั่นก็คือ
- ช็อกโกแลตดูไบ
- คุกกี้หมูเด้ง
โดยเริ่มจาก
1. คิดต้นทุนผันแปร คือต้นทุนวัตถุดิบ
สมมติว่า
- ค่าวัตถุดิบสำหรับทำช็อกโกแลตดูไบ 100,000 บาท 
- ค่าวัตถุดิบสำหรับทำคุกกี้หมูเด้ง 90,000 บาท
รวมต้นทุนผันแปรทั้งหมด 190,000 บาท
2. คิดต้นทุนคงที่ คือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ใช้ในการบริหารร้าน อย่างเช่น
สมมติว่า
- เงินเดือนพนักงาน 4 คน คนละ 15,000 บาท เท่ากับ 60,000 บาท
- ค่าเช่าที่ 40,000 บาท
- ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ 14,000 บาท
- ค่าซ่อมบำรุง 4,000 บาท
- ค่าทำการตลาด เพื่อโปรโมตร้าน 10,000 บาท
- ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ 12,000 บาท
- ค่าวัสดุสิ้นเปลือง ที่จำเป็นต้องใช้ในร้าน
เช่น ค่าทิชชู, สบู่ และน้ำยาล้างจาน 6,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ เช่น ค่าโทรศัพท์ ค่าประกันร้าน 4,000 บาท
รวมต้นทุนคงที่ทั้งหมด 150,000 บาท
3. คาดการณ์ยอดขาย ของเมนูต่าง ๆ
สมมติเราคาดการณ์ได้ว่า
- ช็อกโกแลตดูไบ สามารถขายได้ 4,000 ชิ้น ต่อเดือน
- คุกกี้หมูเด้ง สามารถขายได้ 6,000 ชิ้น ต่อเดือน
รวมแล้วร้านสามารถขายได้ 10,000 ชิ้นต่อเดือน
เมื่อเราลองคิดเป็นสัดส่วนจำนวนยอดขาย เราก็จะเห็นว่า
- ช็อกโกแลตดูไบ สามารถขายได้เป็น 40% ของจำนวนสินค้าทั้งหมด
- คุกกี้หมูเด้ง สามารถขายได้เป็น 60% ของจำนวนสินค้าทั้งหมด
4. ลองคิดออกมาเป็นต้นทุนต่อชิ้น
โดยเริ่มจาก 
1) ต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งเป็นต้นทุนผันแปร 
- ช็อกโกแลตดูไบ มีต้นทุนวัตถุดิบ 100,000 บาท
- คุกกี้หมูเด้ง มีต้นทุนวัตถุดิบ 90,000 บาท
2) ต้นทุนอื่น ๆ อย่าง ค่าแรงพนักงาน, ค่าเช่าที่, ค่าเสื่อมราคา, ค่าวัสดุสิ้นเปลือง 
หรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งเป็นต้นทุนคงที่ อยู่ที่ 150,000 บาท
ซึ่งก็ต้องบอกว่าต้นทุนคงที่ เป็นต้นทุนรวมของทั้งร้าน
ดังนั้น เราสามารถเอาสัดส่วนจำนวนยอดขายต่อเดือน
มาคำนวณเฉลี่ย เพื่อหาต้นทุนคงที่ของสินค้าได้ อย่าง
- ช็อกโกแลตดูไบ 
ที่ขายได้เป็น 40% ของจำนวนทั้งหมด 
มีต้นทุนคงที่คิดเป็น 40% ของต้นทุนคงที่ทั้งหมด 
จะได้ว่า 40% x 150,000 บาท = 60,000 บาท
- คุกกี้หมูเด้ง 
ที่ขายได้เป็น 60% ของจำนวนทั้งหมด 
มีต้นทุนคงที่คิดเป็น 60% ของต้นทุนคงที่ทั้งหมด 
จะได้ว่า 60% x 150,000 บาท = 90,000 บาท
เมื่อเราเอา ข้อ 1) ที่เป็นต้นทุนผันแปร มารวมกับ ข้อ 2) ที่เป็นต้นทุนคงที่ 
เราก็จะได้ต้นทุนรวม ของสินค้าแต่ละอย่างดังนี้
- ช็อกโกแลตดูไบ
มีต้นทุนวัตถุดิบ ที่เป็นต้นทุนผันแปร 100,000 บาท
ต้นทุนอื่น ๆ ที่เป็นต้นทุนคงที่ 60,000 บาท
รวมแล้วมีต้นทุนเท่ากับ 160,000 บาท
- คุกกี้หมูเด้ง
มีต้นทุนวัตถุดิบ ที่เป็นต้นทุนผันแปร 90,000 บาท
ต้นทุนอื่น ๆ ที่เป็นต้นทุนคงที่ 90,000 บาท
รวมแล้วมีต้นทุนเท่ากับ 180,000 บาท 
เมื่อเราได้ต้นทุนรวมของสินค้าแต่ละอย่างมาแล้ว
เราก็เอา “ต้นทุนรวมของสินค้า / จำนวนที่คาดว่าจะขายได้ต่อเดือนของสินค้านั้น ๆ” อย่าง
- ช็อกโกแลตดูไบ มีต้นทุนรวม 160,000 บาท 
สามารถผลิตได้ต่อเดือน 4,000 ชิ้น
ก็เท่ากับว่า ช็อกโกแลตดูไบ มีต้นทุนรวมต่อชิ้น เท่ากับ 160,000 บาท / 4,000 ชิ้น 
เท่ากับ 40 บาท ต่อชิ้น
- คุกกี้หมูเด้ง มีต้นทุนรวม 180,000 บาท
สามารถผลิตได้ต่อเดือน 6,000 ชิ้น
ก็เท่ากับว่า คุกกี้หมูเด้ง มีต้นทุนรวมต่อชิ้น เท่ากับ 180,000 บาท / 6,000 ชิ้น 
เท่ากับ 30 บาท ต่อชิ้น 
5. ตั้งราคาขาย โดยอ้างอิงจากอัตรากำไรที่เราต้องการ
ซึ่งสำหรับร้านคาเฟเล็ก ๆ การตั้งราคาขายที่ง่ายและเหมาะสม คือการบวกกำไรจากต้นทุนสินค้าโดยตรง เรียกว่าการตั้งราคาแบบ Markup Pricing
ข้อดีของการตั้งราคาแบบ Markup Pricing คือเข้าใจง่าย ไม่ต้องคำนวณซับซ้อน 
แต่จะมีข้อจำกัดอื่น ๆ เช่น หากต้นทุนเพิ่ม การปรับราคาขายตามต้นทุนบ่อย ๆ อาจทำให้ลูกค้าสับสน
สูตรการตั้งราคาแบบง่าย ๆ คือ 
ราคาขาย = ต้นทุนสินค้าต่อชิ้น + (ต้นทุนสินค้าต่อชิ้น x % กำไรที่ต้องการ)
ซึ่งเรารู้ต้นทุนขายต่อหน่วยคร่าว ๆ ของสินค้าแต่ละรายการแล้ว ว่า
- ช็อกโกแลตดูไบ มีต้นทุนต่อชิ้น = 40 บาท
- คุกกี้หมูเด้ง มีต้นทุนต่อชิ้น = 30 บาท
ทีนี้ เราลองมาตั้งราคาขาย ของสินค้าทั้ง 2 อย่างนี้ดู
สมมติว่าเราต้องการอัตรากำไร ที่ได้จากการขายสินค้าเท่ากับ 30% เราก็จะได้ว่า
- ราคาขายช็อกโกแลตดูไบ = ต้นทุน 40 บาท + (40 x 30%) เท่ากับ 52 บาท
- ราคาขายคุกกี้หมูเด้ง = ต้นทุน 30 บาท + (30 x 30%) เท่ากับ 39 บาท
จะเห็นได้ว่า ราคาเฉลี่ยที่ควรขายของ
ช็อกโกแลตดูไบ เท่ากับ 52 บาท และคุกกี้หมูเด้ง เท่ากับ 39 บาท
ซึ่งถ้าเราขายสินค้าทั้ง 2 อย่าง ที่ราคานี้ เราก็จะได้กำไรแบบชัวร์ ๆ ที่ 30% จากยอดขายทั้งหมด
แต่ก็ต้องบอกว่าในการทำธุรกิจ การตั้งราคาขายสินค้านั้น
ก็จะมีปัจจัยหลายอย่าง ที่อาจต้องพิจารณาด้วย เช่น
เรื่องการทำโปรโมชัน ลดราคาสินค้า เพื่อกระตุ้นยอดขาย
หรือถ้าเราจะตั้งราคาขายเท่านี้ อาจสูงเกินไปจนลูกค้าไม่เต็มใจที่จะซื้อหรือไม่
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ถ้าเราอยากจะตั้งราคาขาย 
เพื่อให้ได้กำไรแบบชัวร์ ๆ ในระยะยาว
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นไอเดียเบื้องต้นสำหรับเจ้าของร้านคาเฟขนมหวาน ในการตั้งราคาขายขนม 1 ชิ้น ให้ได้กำไรชัวร์ ๆ 30%..
© 2025 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.