
อธิบายเคส วงจรเงินสด ผ่านจุดร่วมที่คล้ายกัน ของธุรกิจ 7-Eleven กับ Spotify
20 มี.ค. 2025
7-Eleven เป็นร้านสะดวกซื้อ ส่วน Spotify เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลง
ทั้ง 2 ธุรกิจนี้ก็ดูเหมือนจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ทั้ง 2 ธุรกิจนี้ก็ดูเหมือนจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แต่หากลองเปรียบเทียบโครงสร้างทางการเงิน และการบริหารธุรกิจ
เราจะเห็นได้ว่า ทั้ง 2 ธุรกิจนี้ ต่างมีจุดร่วมที่น่าสนใจ
เราจะเห็นได้ว่า ทั้ง 2 ธุรกิจนี้ ต่างมีจุดร่วมที่น่าสนใจ
จุดร่วมที่น่าสนใจนั้น มีอะไรบ้าง ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
1. ต้นทุนค่าใช้จ่าย ในสินค้าที่ได้มา
CPALL เจ้าของร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในประเทศไทยมีสินค้าเป็นของกิน ของใช้ต่าง ๆ วางอยู่บนเชลฟ์รอลูกค้าไปหยิบ
โดยก็จะรับสินค้าต่าง ๆ มาจากโรงงานผู้ผลิตหรือซัปพลายเออร์ ที่ส่งสินค้าขายให้กับ CPALL เจ้าของ 7-Eleven
ส่วน Spotify ซึ่งมีสินค้าหลัก เป็นบริการสมาชิกสำหรับ Subscription รายเดือน เพื่อฟังเพลงและพอดแคสต์ได้ไม่อั้น แบบไม่มีโฆษณา
ดังนั้น ต้นทุนของ Spotify ก็คือ ต้นทุนการนำเข้า สินค้าดิจิทัล จากศิลปินหรือเจ้าของผลงานเพลง เข้ามาวางไว้ในแพลตฟอร์มของ Spotify
โดยทั้ง 2 ธุรกิจ จะมีวิธีการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าที่แตกต่างกันคือ
- 7-Eleven จะเรียกเก็บเงินจากสินค้าที่ลูกค้าซื้อ แล้วคิดเงินตามราคาสินค้านั้น
- Spotify จะมีรูปแบบการเก็บเงิน เป็นค่าสมาชิกรายเดือน ซึ่งเราจะเรียกว่าโมเดล Subscription
แม้ว่า Spotify จะมีโมเดลรายได้ที่แตกต่างจาก 7-Eleven แต่ Spotify ก็มีต้นทุนในการได้มาซึ่งสินค้า ที่คล้าย ๆ กัน
โดย Spotify จะรับสินค้า อย่างเช่นเพลงหรือพอดแคสต์มาจากศิลปินหรือเจ้าของผลงาน เข้ามาไว้ในแพลตฟอร์ม
ซึ่ง Spotify จะต้องจ่ายค่า Royalty Fee ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายด้านลิขสิทธิ์เพลงหรือพอดแคสต์
ซึ่ง Spotify จะต้องจ่ายค่า Royalty Fee ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายด้านลิขสิทธิ์เพลงหรือพอดแคสต์
ยิ่งมีคนฟังเพลง ฟังพอดแคสต์ มากเท่าไร Spotify ก็ต้องจ่ายเงินให้กับศิลปิน หรือเจ้าของผลงานมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น ต้นทุนค่า Royalty Fee ของ Spotify ก็เปรียบเสมือนเป็นต้นทุนผันแปร
ที่ธุรกิจจำเป็นต้องจ่าย ตามจำนวนครั้งที่สมาชิก Spotify กดเข้าไปฟังผลงานนั้น ๆ
ที่ธุรกิจจำเป็นต้องจ่าย ตามจำนวนครั้งที่สมาชิก Spotify กดเข้าไปฟังผลงานนั้น ๆ
เช่นเดียวกับร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ยิ่งสินค้าที่วางขายนั้นมีคนมาซื้อมากเท่าไร
7-Eleven ก็ต้องจ่ายเงินเพื่อสั่งสินค้านั้นมาวางขายบนเชลฟ์ ตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการสั่งซื้อ
7-Eleven ก็ต้องจ่ายเงินเพื่อสั่งสินค้านั้นมาวางขายบนเชลฟ์ ตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการสั่งซื้อ
ถึงแม้ว่าทั้ง 2 ธุรกิจ จะมีต้นทุนหลักที่คล้ายกัน
แต่ทั้ง 2 ธุรกิจ ต่างก็มีวิธีในการเพิ่มอัตรากำไรที่แตกต่างกัน
แต่ทั้ง 2 ธุรกิจ ต่างก็มีวิธีในการเพิ่มอัตรากำไรที่แตกต่างกัน
เช่น
Spotify จะเพิ่มอัตรากำไร ด้วยการเพิ่มพื้นที่โฆษณา สำหรับสมาชิก Spotify ที่ฟังฟรี หรือยังไม่ได้ Subscription เพื่อจ่ายเงิน
หรือการปรับขึ้นราคา Subscription
Spotify จะเพิ่มอัตรากำไร ด้วยการเพิ่มพื้นที่โฆษณา สำหรับสมาชิก Spotify ที่ฟังฟรี หรือยังไม่ได้ Subscription เพื่อจ่ายเงิน
หรือการปรับขึ้นราคา Subscription
หรือ CPALL เจ้าของ 7-Eleven ก็จะเน้นลดต้นทุนต่อหน่วย
ในการผลิตและรับซื้อสินค้าจากซัปพลายเออร์ และเพิ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง ๆ มาวางขายให้มากขึ้น
ในการผลิตและรับซื้อสินค้าจากซัปพลายเออร์ และเพิ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง ๆ มาวางขายให้มากขึ้น
2. วงจรเงินสด (Cash Cycle)
เรื่องนี้เป็นเรื่องของ วงจรเงินสด หรือ Cash Cycle
โดยจะอธิบายสั้น ๆ ก็คือ รอบระยะเวลาที่ธุรกิจใช้ตั้งแต่เริ่มผลิตสินค้า ไปจนถึงวันที่ได้รับเงินเข้ามาในกิจการ
โดยจะอธิบายสั้น ๆ ก็คือ รอบระยะเวลาที่ธุรกิจใช้ตั้งแต่เริ่มผลิตสินค้า ไปจนถึงวันที่ได้รับเงินเข้ามาในกิจการ
ซึ่ง Cash Cycle ก็สามารถคำนวณได้จาก
ระยะเวลาขายสินค้า + ระยะเวลาเก็บหนี้ - ระยะเวลาชำระหนี้
ระยะเวลาขายสินค้า + ระยะเวลาเก็บหนี้ - ระยะเวลาชำระหนี้
ก็ต้องบอกว่า การบริหารเงินสดที่ใช้หมุนเวียนกิจการของทั้ง 2 ธุรกิจ ก็จะมีความคล้ายคลึงกัน
โดยทั้ง 2 เจ้า สามารถเรียกเก็บเงินจากลูกค้าได้เร็ว และสามารถยืดระยะเวลาการจ่ายหนี้ ค่าสินค้าหรือบริการให้ช้าออกไปได้
- CPALL เจ้าของ 7-Eleven จะใช้เวลาเพียง 1 วัน ในการเก็บเงินจากลูกค้า
แต่ CPALL สามารถยืดระยะเวลาการชำระเงิน ค่าสินค้ากับซัปพลายเออร์ ออกไปได้ถึง 63 วัน
แต่ CPALL สามารถยืดระยะเวลาการชำระเงิน ค่าสินค้ากับซัปพลายเออร์ ออกไปได้ถึง 63 วัน
- Spotify ใช้เวลาเฉลี่ย 18 วัน ในการเก็บเงินค่าสมาชิกรายเดือน
แต่ Spotify สามารถยืดระยะเวลาการชำระเงิน ค่าลิขสิทธิ์ในรูปแบบ Royalty Fee กับเจ้าของผลงานได้ถึง 45 วัน
แต่ Spotify สามารถยืดระยะเวลาการชำระเงิน ค่าลิขสิทธิ์ในรูปแบบ Royalty Fee กับเจ้าของผลงานได้ถึง 45 วัน
จะเห็นได้ว่าธุรกิจทั้ง 2 นี้ต่างก็มีอำนาจต่อรอง ทั้งฝั่งลูกค้า และฝั่งซัปพลายเออร์
ซึ่งการทำแบบนี้ ทำให้ธุรกิจทั้ง 2 ธุรกิจสามารถมีเงินสดที่ใช้หมุนเวียนกิจการมากขึ้น และทำให้ธุรกิจเกิดสภาพคล่องมากขึ้น
นอกจากการดู ระยะเวลาเก็บหนี้ และระยะเวลาชำระหนี้แล้ว
อีก 1 ปัจจัย ที่มีผลต่อสภาพคล่องของธุรกิจ คือ “ระยะเวลาขายสินค้า”
โดยระยะเวลาขายสินค้า ก็คือ ระยะเวลาที่สินค้าอยู่ในสต๊อก ก่อนจะขายออกไป
- 7-Eleven มีระยะเวลาขายสินค้าเฉลี่ย = 29 วัน
- Spotify มีระยะเวลาขายสินค้าเฉลี่ย = 0 วัน
- Spotify มีระยะเวลาขายสินค้าเฉลี่ย = 0 วัน
ซึ่งสาเหตุที่ Spotify มีระยะเวลาขายสินค้าเฉลี่ยเป็น 0 วัน นั่นก็เพราะว่า
สินค้าจริง ๆ ของ Spotify ก็คือบริการสตรีมมิงเพลงและพอดแคสต์ สำหรับสมาชิก
ซึ่งสินค้าเหล่านี้ ก็ถือเป็น Intangible Goods
หรือเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับ ลิขสิทธิ์ผลงานเพลงหรือพอดแคสต์ ซึ่งผู้ใช้งานไม่สามารถจับต้องได้
หรือเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับ ลิขสิทธิ์ผลงานเพลงหรือพอดแคสต์ ซึ่งผู้ใช้งานไม่สามารถจับต้องได้
ดังนั้น ธุรกิจแพลตฟอร์มสตรีมมิง Spotify จึงไม่มีสินค้าคงคลังที่ค้างสต๊อก
ก่อนขายออกไปให้กับลูกค้า หรือเรียกได้ว่า สินค้าคงคลัง = 0
ทีนี้ เราลองมาเปรียบเทียบสภาพคล่อง ของทั้ง 2 ธุรกิจ กันดู
ผ่านการคำนวณ “วงจรเงินสด” หรือ Cash Cycle
ก่อนขายออกไปให้กับลูกค้า หรือเรียกได้ว่า สินค้าคงคลัง = 0
ทีนี้ เราลองมาเปรียบเทียบสภาพคล่อง ของทั้ง 2 ธุรกิจ กันดู
ผ่านการคำนวณ “วงจรเงินสด” หรือ Cash Cycle
วงจรเงินสด = ระยะเวลาขายสินค้า + ระยะเวลาเก็บหนี้ - ระยะเวลาชำระหนี้
ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven
- มีระยะเวลาขายสินค้า 29 วัน
- มีระยะเวลาเก็บหนี้ 1 วัน
- มีระยะเวลาชำระหนี้ 63 วัน
- มีระยะเวลาเก็บหนี้ 1 วัน
- มีระยะเวลาชำระหนี้ 63 วัน
ดังนั้น วงจรเงินสดของ 7-Eleven = 29 วัน + 1 วัน - 63 วัน หรือเท่ากับ -33 วัน
ซึ่งการที่ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven มีวงจรเงินสด ติดลบ 33 วัน ก็หมายความว่า
7-Eleven จะได้รับเงินจากลูกค้า ก่อนที่จะต้องจ่ายเงินให้ซัปพลายเออร์ผู้ผลิตสินค้า เป็นเวลาเฉลี่ย 33 วัน
ส่วนแพลตฟอร์มสตรีมมิง Spotify
- มีระยะเวลาขายสินค้า 0 วัน
- มีระยะเวลาเก็บหนี้ 18 วัน
- มีระยะเวลาชำระหนี้ 45 วัน
- มีระยะเวลาขายสินค้า 0 วัน
- มีระยะเวลาเก็บหนี้ 18 วัน
- มีระยะเวลาชำระหนี้ 45 วัน
ดังนั้น วงจรเงินสดของ Spotify = 0 วัน + 18 วัน - 45 วัน หรือเท่ากับ -27 วัน
ซึ่งการที่แพลตฟอร์มสตรีมมิง Spotify มีวงจรเงินสดติดลบ 27 วัน ก็หมายความว่า
Spotify จะได้รับเงินจากลูกค้า ก่อนที่จะต้องจ่ายเงินให้ซัปพลายเออร์ผู้ผลิตสินค้า เป็นเวลาเฉลี่ย 27 วัน นั่นเอง..
References
- https://www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/cpall/factsheet
- Q4 2024 Update, Spotify
- https://www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/cpall/factsheet
- Q4 2024 Update, Spotify