
สรุปแนวคิด Kanban เฟรมเวิร์กจัดการสินค้า จากเคส ชิป IC tag ใต้จานร้าน Sushiro
13 ก.พ. 2025
Kanban (看板) อ่านว่า คัมบัง เป็นแนวคิดญี่ปุ่น ที่พูดถึงเรื่องการควบคุมกระบวนการผลิตและจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อไม่ให้ธุรกิจสต๊อกสินค้ามากเกินไป
และสามารถส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ทันเวลาพอดี โดยไม่ขาดและไม่เกิน
แนวคิดนี้ถูกนำไปใช้ปรับปรุงกระบวนการทำงาน ตั้งแต่การผลิตรถยนต์ กระบวนการทำงานของบริษัทเทคโนโลยี ไปจนถึงการจัดการสต๊อกในร้านอาหาร
แล้วดีเทลของ Kanban มีวิธีใช้งานอย่างไร ?
BrandCase สรุปให้ พร้อมยกเคสการจัดการร้าน Sushiro มาเป็นตัวอย่างประกอบ ให้เข้าใจกันแบบง่าย ๆ
-Kanban (看板) อ่านว่า คัมบัง แปลว่า “ป้าย” หรือ “กระดาษโน้ต”
ซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสื่อสารกับฝ่ายผลิตแบบเรียลไทม์ ว่าเราต้องการสินค้านั้นกี่ชิ้น โดยที่ไม่ขาด และไม่เกินจนค้างสต๊อก
ไอเดียของ Kanban เกิดขึ้นจาก คุณ Taiichi Ohno วิศวกรของ Toyota เมื่อ 80 ปีก่อน
โดยเขาได้ไปที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง และสังเกตเห็นว่าเชลฟ์สินค้าไม่มีของล้นเกินไป แต่ก็ไม่เคยขาดสินค้าเลย
ที่สำคัญคือสินค้าที่หมดไปจะถูกเติมกลับมาอย่างรวดเร็ว โดยที่พนักงานไม่ต้องเดินเช็กของเอง
ซึ่งการที่พนักงานสามารถเติมสินค้าได้โดยที่ไม่ต้องเดินไปเช็กที่เชลฟ์ แต่รู้ว่าต้องเติมอะไร ในปริมาณเท่าไร
นั่นเป็นเพราะว่า เมื่อลูกค้าหยิบสินค้าออกจากเชลฟ์แล้วไปจ่ายเงิน ทางร้านก็จะออกใบเสร็จ ว่ามีสินค้าอะไรที่ลูกค้าซื้อบ้าง
ซึ่งใบเสร็จนี้เอง ที่ทำให้พนักงานร้านรู้ว่า ต้องนำสินค้าจากคลังไปเติมในเชลฟ์เป็นจำนวนเท่าไร
เมื่อปิ๊งไอเดีย คุณ Taiichi Ohno ก็ได้นำคอนเซปต์จากใบเสร็จร้านสะดวกซื้อ มาปรับใช้ในกระบวนการผลิตของ Toyota ให้ง่ายขึ้น
โดยปรับรูปแบบให้เป็นกระดาษ 1 แผ่น หรือการ์ด Kanban
โดยการ์ด Kanban จะทำหน้าที่คล้าย ๆ กับ “ใบสั่งงาน” โดยลูกค้าจะเป็นคนเขียน Kanban เพื่อสั่งให้แผนกก่อนหน้านำสินค้ามาให้
ซึ่งการ์ด Kanban จะบอกข้อมูลต่าง ๆ สำหรับใช้ในการผลิต ตัวอย่างเช่น
- ชิ้นงานที่จะผลิต
- จะผลิตเป็นจำนวนกี่ชิ้น
- เวลาที่ใช้ในการทำ
- วันที่ต้องส่งมอบงาน
- ลูกค้า หรือ ผู้รับงานต่อ (คนที่ให้การ์ด Kanban)
ทีนี้ เราไปดูตัวอย่างการใช้เครื่องมือ Kanban แบบง่าย ๆ กัน
- ในร้านสะดวกซื้อ จะส่ง Kanban หรือใบสั่งซื้อ ให้กับร้านค้าส่ง เพื่อเติมสต๊อกสินค้าที่ยังขาด
- ร้านค้าส่ง จะส่ง Kanban ให้กับโรงงานผลิตสินค้า เพื่อให้โรงงานผลิตสินค้า ผลิตของเติมสต๊อกให้ทัน
- ในโรงงานผลิต จะส่ง Kanban หรือใบออร์เดอร์ผลิตสินค้า ให้กับฝ่ายประกอบสินค้า
- ฝ่ายประกอบสินค้า เมื่อรับออร์เดอร์การผลิตเข้ามาแล้ว
ก็จะกระจายงาน โดยการเขียน Kanban ต่อเพื่อให้แผนกอื่น ๆ ผลิตสินค้าส่งให้
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น เช่น โรงงานผลิต ได้รับออร์เดอร์ทำเครื่องดื่มชูกำลัง จากร้านค้าส่งจำนวน 1,000 ขวด ปริมาณขวดละ 150 มิลลิลิตร
โรงงานผลิตอาจจะต้องส่ง Kanban ให้ฝ่ายผลิตชิ้นส่วนแต่ละฝ่าย อย่างเช่น
- ฝ่ายผลิตแก้ว จำนวน 1,000 ชิ้น
- ฝ่ายผลิตฝา จำนวน 1,000 ชิ้น
- ฝ่ายผลิตสลากติดขวด จำนวน 1,000 ชิ้น
- ฝ่ายผลิตน้ำดื่มชูกำลัง 150,000 มิลลิลิตร (มาจาก 150 มิลลิลิตรต่อขวด x 1,000 ขวด)
ซึ่งแน่นอนว่า ฝ่ายผลิตงานแต่ละส่วน ก็จะมีการเขียน Kanban เพื่อเรียกวัตถุดิบต้นน้ำ เพื่อนำมาผลิตชิ้นงานอีกทีหนึ่ง
จะเห็นได้ว่า Kanban จะถูกใช้ก็ต่อเมื่อเราต้องการสินค้า จากแผนกก่อนหน้า หรือซัปพลายเออร์ในจำนวนที่พอดี
ซึ่งระบบ Kanban ก็จะถูกส่งต่อกันเป็นทอด ๆ จนเกิดเป็น Pulling System หรือระบบการดึงสินค้า จากแผนกก่อนหน้ามาใช้นั่นเอง
ซึ่งการทำแบบนี้ จะทำให้โรงงานหรือธุรกิจของเรา ไม่มีการผลิตเพื่อสต๊อกสินค้าที่มากเกินไป
ในขณะเดียวกัน ธุรกิจก็สามารถส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ตรงตามความต้องการ และทันเวลาพอดี
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า Kanban กับ Just-in-Time (JIT) ที่ Toyota คิดค้นขึ้นมา ต่างกันอย่างไร ?
ต้องบอกว่า Just-in-Time เป็นระบบใหญ่ ที่ Toyota ใช้ในการบริหารการผลิต คือผลิตเท่าที่จำเป็น ไม่มีของเหลือ ไม่มีการสต๊อกเกินจำเป็น
ส่วน Kanban เป็นเครื่องมือสำหรับใช้สื่อสารระหว่างแต่ละแผนก ที่ทำให้ระบบ Just-in-Time ทำงานได้จริง
พูดง่าย ๆ ก็คือ Just-in-Time คือ แนวคิดการผลิตแบบทันเวลา
ส่วน Kanban คือ เครื่องมือที่ใช้ควบคุมกระบวนการผลิตให้เป็นไปตามแนวคิดนั้น
ซึ่งนอกจากการ์ด Kanban จะบอกความต้องการที่แน่นอนจากลูกค้าแล้ว
ยังสามารถบอกสถานะของงาน แถมยังนำมาใช้ลำดับความสำคัญ ในการทำงานก่อนหลังได้ด้วย
เช่น เราสามารถแยกการ์ด Kanban ออกให้เป็นสีต่าง ๆ ตามประเภทของงาน เพื่อให้เห็นและแยกออกจากกันได้ง่าย
ยกตัวอย่างเช่น
- การ์ดสีส้ม สำหรับงานที่รอทำ หรือรออนุมัติ
- การ์ดสีแดง สำหรับงานเร่งด่วน ที่ต้องรีบทำเพื่อส่งลูกค้าให้ทันเวลา
- การ์ดสีเหลือง สำหรับงานที่กำลังทำ
- การ์ดสีเขียว สำหรับงานที่เสร็จ รอส่งให้ลูกค้า
- การ์ดสีม่วง สำหรับงานทดสอบ
- การ์ดสีน้ำเงิน สำหรับงานที่รอซ่อม
ในระยะหลัง Kanban อาจจะไม่ได้เป็นรูปแบบการ์ดเสมอไป
แต่อาจเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบดิจิทัลบนระบบซอฟต์แวร์ขององค์กร เพื่อบอกยอดสินค้าที่ต้องผลิต หรือสต๊อกสินค้าในร้านสะดวกซื้อ ได้โดยอัตโนมัติ
นอกจากเครื่องมือ Kanban จะเป็นที่นิยมใช้ในการควบคุมสต๊อก หรือผลิตสินค้าแล้ว
ยังเป็นต้นแบบในการนำมาปรับใช้กับธุรกิจร้านอาหารอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น
Sushiro ร้านซูชิสายพานจากญี่ปุ่น จะมี IC tag หรือชิปที่ฝังเอาไว้ใต้จานทุกใบ ซึ่งชิปที่ฝังเอาไว้ใต้จาน จะคอยบอกข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับอาหารจานนั้นเอาไว้
เช่น
- ซูชิแต่ละเมนู
- ระยะทางหรือระยะเวลาที่จานซูชิ อยู่บนสายพาน
- เวลาที่ลูกค้า หยิบจานซูชินั้นออกไป
หากลูกค้าหยิบจานซูชิเมนูต่าง ๆ ออกไป IC tag ก็จะทำให้แผนกครัวรู้ได้ทันทีว่า มีจานไหนที่ลูกค้าหยิบออกไปแล้ว
ซึ่งระบบ IC tag จะคอยแจ้งข้อมูลกลับไปที่เชฟหลังครัว
เพื่อแนะนำว่าควรเติมเมนูไหนลงไปในสายพานเพิ่ม เพื่อให้มีซูชิพร้อมเสิร์ฟตลอดเวลานั่นเอง..
นอกจากนี้ ระบบ IC tag ยังสามารถเก็บข้อมูลการขายจากการทานของลูกค้าได้ เช่น เมนูไหนขายดีที่สุด หรือในแต่ละช่วงเวลา ลูกค้านิยมสั่งเมนูไหนเป็นพิเศษ
รวมถึงบอกได้ว่าจานซูชิไหน ที่ค้างอยู่บนสายพานนานเกินระยะทาง 350 เมตร (ประมาณ 40 นาที) ซึ่งเป็นระยะทางที่ร้านกำหนด ระบบก็จะดึงจานนั้นออกจากสายพานโดยอัตโนมัติ และแจ้งไปที่เชฟหลังครัวให้ทำการผลิตน้อยลง
โดยภาพรวมแล้ว การที่ Sushiro นำ Kanban มาประยุกต์ใช้ ทำให้ร้านสามารถบริหารจัดการวัตถุดิบได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ
เพราะร้านสามารถรู้ได้ว่า ควรเติมเมนูไหนลงบนสายพาน และควรสั่งวัตถุดิบมาสต๊อกที่ร้านในปริมาณเท่าไร ในแต่ละช่วงเวลา และในปริมาณที่กำลังพอดี ไม่ขาดไม่เกิน
เพื่อให้ร้านมีซูชิพร้อมเสิร์ฟที่เพียงพอต่อลูกค้าที่เข้ามารับประทานในร้าน
อีกทั้งยังช่วยให้ร้านประหยัดพื้นที่จัดเก็บวัตถุดิบ และเกิด Food Waste น้อยที่สุดอีกด้วย..
References