สรุปประเด็น เรื่อง ESG กับธุรกิจอสังหาฯ ทำไมถึงสำคัญมาก จากมุมมอง KKP

สรุปประเด็น เรื่อง ESG กับธุรกิจอสังหาฯ ทำไมถึงสำคัญมาก จากมุมมอง KKP

21 มิ.ย. 2024
จากโลกร้อน เปลี่ยนมาเป็นโลกเดือด
จากเดิมที่ปี 2014 อุณหภูมิสูงสุดของกรุงเทพฯ เคยอยู่ที่ 37 องศา 
แต่ในปี 2024 นี้ อุณหภูมิสูงสุดได้ทะลุเกิน 40 องศาไปแล้ว 
ในจังหวะนี้ เห็นได้ชัดว่า ESG ไม่ใช่แค่การทำความดีเพื่อสังคม แต่เป็นความมั่นคงที่จะเกิดขึ้นต่อทั้งธุรกิจและผู้บริโภค เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศสามารถเพิ่มต้นทุนและความเสี่ยงที่จับต้องได้ แถมยังใกล้ตัวมากขึ้น 
และหากผู้เล่นคนไหนไม่สามารถชูเรื่อง ESG ได้อย่างโดดเด่น 
อาจกลายเป็นธุรกิจนอกสายตาของนักลงทุนไปโดยปริยาย..
โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ได้จัดงานสัมมนา ‘KKP Shaping Tomorrow เราปรับ-โลกเปลี่ยน’ 
เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับ ESG และคำแนะนำในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนของแวดวงอสังหาริมทรัพย์ 
มีประเด็นไหนที่น่าสนใจบ้าง ?
BrandCase สรุปให้ เป็นข้อ ๆ 
1. ทำไมธุรกิจอสังหาฯ ถึงต้องให้ความสำคัญกับ ESG ?
ข้อมูลจากธนาคารเกียรตินาคินภัทร ได้อธิบายว่า กลุ่มธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากสุดคือ ภาคพลังงาน ภาคการขนส่ง และการก่อสร้าง 
ในเมื่อกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นผู้ดำเนินการและใช้วัสดุก่อสร้างโดยตรง และอาคารบ้านเรือนก็จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงมีส่วนสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจก 
ดังนั้นผู้ประกอบการในไทยจึงต้องให้ความสนใจกับเรื่องนี้ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความเสี่ยงทางธุรกิจ 
เนื่องจากนักลงทุนเริ่มให้ความสำคัญกับ ESG มากขึ้น ธุรกิจที่ไม่มีนโยบาย ESG ที่ชัดเจน อาจถูกมองข้ามจากนักลงทุน
2. ใช้วัสดุก่อสร้างรักษ์โลก ไม่ได้แปลว่าเป็นโครงการสีเขียว
จากสาเหตุข้างบนทำให้บ้านหรืออาคารยุคใหม่ เน้นเรื่องของการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน การติดตั้งพลังงานทางเลือก และการออกแบบโครงสร้างที่ช่วยลดการใช้ไฟฟ้า 
ยกตัวอย่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการสร้างบ้าน ที่ KKP ลองคำนวณออกมา
- บ้านทาวน์เฮาส์ขนาด 2-4 ล้านบาท จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาประมาณ 26 ตันต่อหลัง ซึ่งถ้าเราปลูกต้นไม้ในที่ดิน 1 ไร่แบบเต็มพื้นที่ จะดูดซับคาร์บอนได้ปีละประมาณ 1.2 ตันเท่านั้น
ซึ่งน้อยกว่าปริมาณก๊าซที่บ้านทาวน์เฮาส์หลังเดียวปล่อยออกมา แม้จะใช้เวลานานถึง 10 ปี ต้นไม้ 1 ไร่ก็ยังดูดซับก๊าซจากบ้านเพียงหลังเดียวไม่หมด
ดังนั้นอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์จึงต้องกลับมาทบทวนเรื่องวัสดุก่อสร้างใหม่ เพราะการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ สามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 10% โดยไม่เพิ่มต้นทุนในการก่อสร้าง 
นอกเหนือจากการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว สิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่บริษัทอสังหาฯ ควรทำคือ โครงการต้องคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือค่า Emission ให้ชัดเจน 
เพราะการนำวัสดุรักษ์โลกมาใช้เพียงอย่างเดียว ไม่ได้หมายความว่าโครงการนั้นจะกลายเป็นโครงการสีเขียว (Green Project) ทันที เพราะถ้าหากโครงการไม่สามารถคำนวณค่า Emission ได้ ก็ไม่สามารถบริหารจัดการและทำให้โครงการมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมได้
3. การออกแบบอาคารที่ดี จะช่วยลูกค้าประหยัดค่าไฟ
โดยคุณเจมส์ ดูอัน จากบริษัท คอรัล โฮลดิ้ง จำกัด หนึ่งในผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมสีเขียวของประเทศไทย ได้ยกตัวอย่างกรณีของการใช้วัสดุและการออกแบบที่สามารถช่วยลดการใช้พลังงานได้
ถ้าดูจาก EUI (Energy Use Intensity หรือ อัตราการใช้พลังงานของกิจกรรมต่อพื้นที่) จะเห็นว่าอาคารในประเทศไทย มีอัตราการใช้พลังงานในอาคารเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 280 กิโลวัตต์ต่อตารางเมตรต่อปี 
ส่วนอาคารในสิงคโปร์อยู่ที่ประมาณ 225 กิโลวัตต์ต่อตารางเมตรต่อปี 
แต่ตึกออฟฟิศของคอรัลที่สุขุมวิท 39 มีค่า EUI อยู่ที่ 68 กิโลวัตต์ต่อตารางเมตรต่อปี ซึ่งเป็นค่าที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาคารในประเทศไทย 
ทำให้เห็นว่าการออกแบบอาคารให้มีค่า EUI ต่ำ จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและประหยัดพลังงานได้
เนื่องจากความร้อนในอาคารมาจาก 2 ส่วนหลัก คือ อาคารและเครื่องจักรภายในอาคาร 
โดยอาคารที่ออกแบบดีสามารถกันความร้อนได้ถึง 70% ส่วนที่เหลืออีก 30% มาจากความร้อนภายในจากเครื่องไฟฟ้าและคน 
โดยปกติพื้นที่ 1 ตารางเมตร ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ 1,000 BTU แต่อาคารที่บริษัทออกแบบ ใช้ขนาดไม่เกิน 250 BTU เนื่องจากสามารถกันความร้อนไม่ให้เข้ามาตั้งแต่แรก
4. ความยั่งยืนไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป
ในขณะที่คุณวชิระชัย คูนำวัฒนา ตัวแทนจากบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ได้แชร์ว่า ผู้ประกอบการ มักคิดถึงแต่ต้นทุนเริ่มต้น (Initial Cost) แต่ไม่ได้มองถึงวงจรท้ายสุด (Last Cycle) 
ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเลือกที่จะใช้วัสดุก่อสร้างแบบปกติทั่วไปที่มีราคาต้นทุนต่ำกว่า แทนการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่รักษ์โลกที่มีราคาสูงกว่า
โดยคุณวชิระชัยได้อธิบายเพิ่มว่า จริง ๆ แล้วถ้าเป็นอาคารที่เราใช้เอง อย่าไปมองการก่อสร้างเป็นต้นทุนทั้งหมด แต่มองเป็นการลงทุนน่าจะคุ้มกว่า
ซึ่งในช่วงหลังเทคโนโลยีการผลิตวัสดุรักษ์โลกบางตัวพัฒนาขึ้น ทำให้ราคาสมเหตุสมผลมากขึ้นด้วย
เช่น ปูนซีเมนต์ประเภทคาร์บอนต่ำ ตอนนี้มีราคาเท่ากับปูนซีเมนต์ทั่วไปแล้ว ดังนั้นวัสดุที่ทำเพื่อรักษ์โลกจึงไม่ได้แพงเสมอไป 
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการวางแผนตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ หากไม่ได้คิดถึงความยั่งยืนตั้งแต่แรกและต้องแก้ไขหน้างาน ก็จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น
ในทางตรงกันข้าม แทนที่จะมาอัดวัสดุรักษ์โลกใส่เข้าไปทีหลัง แต่ถ้าใช้แนวคิดเรื่องอาคารสีเขียวตั้งแต่ต้น ต้นทุนการก่อสร้างอาจเพิ่มเพียงนิดหน่อยหรืออาจไม่เพิ่มด้วยซ้ำ 
และยังตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้ามากขึ้น
5. อสังหาริมทรัพย์เริ่มย้ายไปตลาดคาร์บอนต่ำ เพื่อดึงดูดนักลงทุน
โดยคุณสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานสายสินเชื่อธุรกิจ จากธนาคารเกียรตินาคินภัทร ได้ให้ข้อมูลว่า 
ในสหภาพยุโรป (EU) มีการตั้งกำแพงภาษีสำหรับสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ขณะที่สหราชอาณาจักรก็เริ่มประกาศเรื่องภาษีคาร์บอนแล้ว 
ด้านการลงทุน กองทุนขนาดใหญ่อย่าง BlackRock ได้ระบุชัดเจนว่า ESG (การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน) เป็นเรื่องสำคัญ
หากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ปรับตัวและยังไม่ให้ความสำคัญกับ ESG ธุรกิจก็อาจได้รับผลกระทบและสูญเสียโอกาสจากกระแสการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนได้ 
ดังนั้น มาตรฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจึงเริ่มถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ด้วย 
ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หลายรายเริ่มย้ายไปสู่ตลาดคาร์บอนต่ำ 
โดยมีการตั้งเป้าหมายทั้งเรื่องปริมาณก๊าซเรือนกระจก พลังงานสะอาด วัสดุยั่งยืน เครื่องชาร์จรถอีวี
และรวมถึง การจัดการของเสียด้วย..
Reference
- ข่าวประชาสัมพันธ์งานสัมมนา ‘KKP Shaping Tomorrow เราปรับ-โลกเปลี่ยน’
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.