
ทำไมสินค้าบางอย่าง ขึ้นราคาแค่ไหน ลูกค้าก็ไม่หนี อธิบายจาก Price Elasticity of Demand
23 เม.ย. 2025
- ทำไมสินค้าบางอย่าง ขึ้นราคาแค่นิดเดียว ลูกค้าหายไปเยอะมาก
- ทำไมสินค้าบางอย่าง ต่อให้ขึ้นราคาแค่ไหน ลูกค้ากลับยังไม่หนีไปไหน
- ทำไมสินค้าบางอย่าง ต่อให้ขึ้นราคาแค่ไหน ลูกค้ากลับยังไม่หนีไปไหน
ในวิชาเศรษฐศาสตร์ มีทฤษฎีที่อธิบายเรื่องนี้ คือทฤษฎี Price Elasticity of Demand ภาษาไทยคือ “ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา”
ทฤษฎีนี้อธิบายว่าอะไร ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
- “อุปสงค์” หมายความว่า ความต้องการซื้อ ณ ระดับราคานั้น ๆ
- “ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา” หรือ Price Elasticity of Demand หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงของ ความต้องการซื้อ เมื่อราคาเปลี่ยนแปลงไป
แล้วความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา สูงหรือต่ำ หมายความว่าอะไร ? วัดอย่างไร ?
เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ เรามาดูตัวอย่างจากการคำนวณกัน..
- กรณีที่ 1 สินค้า A
จากเดิมขายราคา 100 บาท ปรับราคาใหม่เป็น 110 บาท
ยอดขายลดลงจาก 100 ชิ้น เหลือ 98 ชิ้น
จากเดิมขายราคา 100 บาท ปรับราคาใหม่เป็น 110 บาท
ยอดขายลดลงจาก 100 ชิ้น เหลือ 98 ชิ้น
- กรณีที่ 2 สินค้า B
จากเดิมขายราคา 100 บาท ปรับราคาใหม่เป็น 110 บาท
ยอดขายลดลงจาก 100 ชิ้น เหลือ 50 ชิ้น
จากเดิมขายราคา 100 บาท ปรับราคาใหม่เป็น 110 บาท
ยอดขายลดลงจาก 100 ชิ้น เหลือ 50 ชิ้น
จะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือ
- สินค้า A มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคา = 10%
และมีอัตราการลดลงของจำนวนชิ้นที่ขาย = 2%
- สินค้า A มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคา = 10%
และมีอัตราการลดลงของจำนวนชิ้นที่ขาย = 2%
- สินค้า B มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคา 10%
และมีอัตราการลดลงของจำนวนชิ้นที่ขาย = 50%
และมีอัตราการลดลงของจำนวนชิ้นที่ขาย = 50%
อธิบายตามทฤษฎี
- ถ้าอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา มากกว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงของจำนวนชิ้นที่ขาย (เหมือนกรณีเคส สินค้า A)
หมายความว่า สินค้านั้นมี ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาต่ำ (Inelastic Demand)
- ถ้าอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา มากกว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงของจำนวนชิ้นที่ขาย (เหมือนกรณีเคส สินค้า A)
หมายความว่า สินค้านั้นมี ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาต่ำ (Inelastic Demand)
สินค้าแบบนี้ขึ้นราคาไป ลูกค้าก็ยังไม่ค่อยหนี
- ถ้าอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคา มากกว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงของจำนวนชิ้นที่ขาย (เหมือนกรณีเคส สินค้า B)
หมายความว่า สินค้านั้นมี ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสูง (Elastic Demand)
หมายความว่า สินค้านั้นมี ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสูง (Elastic Demand)
สินค้าแบบนี้ขึ้นราคาไป ลูกค้าจะหายไปเยอะ
คำถามคือ ปัจจัยอะไรบ้าง ที่กำหนดความยืดหยุ่นว่า สูงหรือต่ำ ?
มันจะมีปัจจัยสำคัญ ๆ อยู่ 5 ข้อ
มันจะมีปัจจัยสำคัญ ๆ อยู่ 5 ข้อ
1. สินค้าถูกทดแทนง่ายหรือไม่ (Availability of Substitutes)
ถ้าสินค้า สามารถทดแทนได้ง่าย คือลูกค้าเปลี่ยนไปใช้สินค้าอื่นแทนสินค้าเดิมที่เคยใช้
หรือสามารถย้ายไปใช้แบรนด์อื่นได้ง่าย
สินค้านั้นก็มักจะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสูง
หรือสามารถย้ายไปใช้แบรนด์อื่นได้ง่าย
สินค้านั้นก็มักจะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสูง
ยกตัวอย่างเช่น
- เครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์ต่าง ๆ หรือ น้ำอัดลมโคลา
ถ้าแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งขึ้นราคา แล้วคนไม่ได้ติดรสชาติ ติดแบรนด์มาก คนก็อาจจะไปซื้อสินค้าของแบรนด์อื่นแทนกันเยอะ
- เครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์ต่าง ๆ หรือ น้ำอัดลมโคลา
ถ้าแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งขึ้นราคา แล้วคนไม่ได้ติดรสชาติ ติดแบรนด์มาก คนก็อาจจะไปซื้อสินค้าของแบรนด์อื่นแทนกันเยอะ
แต่ถ้าสินค้าไหน สามารถทดแทนกันได้ยาก สินค้านั้นก็จะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาต่ำ
ยกตัวอย่างเช่น
- รถยนต์คันไหนที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ก็เปลี่ยนไปใช้ดีเซลไม่ได้
- รถยนต์คันไหนที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ก็เปลี่ยนไปใช้ดีเซลไม่ได้
ดังนั้น ถ้าตัดเรื่องแบรนด์น้ำมันหรือสถานีบริการน้ำมันออกไป ต่อให้น้ำมันเบนซินขึ้นราคา ผู้ใช้รถก็ยังต้องเติมน้ำมันเบนซินต่อไป เพราะรถคันที่ใช้อยู่เติมดีเซลไม่ได้
2. ความจำเป็นของสินค้า (Necessity & Luxury)
คือถ้าสินค้าไหนมีความจำเป็นต้องใช้ จะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาต่ำ ต่อให้ราคาแพงแค่ไหน คนก็ต้องยอมจ่าย
ยกตัวอย่างเช่น
- รถไฟฟ้าประกาศขึ้นราคา แล้วคนที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า ไม่มีวิธีการเดินทางอื่นเลย หรือเดินทางด้วยวิธีอื่นไม่สะดวกเท่า เสียเวลาเพิ่มอีกมาก
แบบนี้แปลว่า รถไฟฟ้า มีความจำเป็นมาก ๆ ต่อให้ขึ้นราคาแค่ไหนก็ต้องใช้
- รถไฟฟ้าประกาศขึ้นราคา แล้วคนที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า ไม่มีวิธีการเดินทางอื่นเลย หรือเดินทางด้วยวิธีอื่นไม่สะดวกเท่า เสียเวลาเพิ่มอีกมาก
แบบนี้แปลว่า รถไฟฟ้า มีความจำเป็นมาก ๆ ต่อให้ขึ้นราคาแค่ไหนก็ต้องใช้
ส่วนถ้าสินค้าไหน ไม่ได้จำเป็นมาก ก็มักจะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสูง
ยกตัวอย่างเช่น
- รีสอร์ตหรือโรงแรมต่าง ๆ ในช่วงโลว์ซีซัน ที่ราคาห้องพัก มีผลต่ออัตราการจองโรงแรมมาก ๆ ก็จะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสูง
- รีสอร์ตหรือโรงแรมต่าง ๆ ในช่วงโลว์ซีซัน ที่ราคาห้องพัก มีผลต่ออัตราการจองโรงแรมมาก ๆ ก็จะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสูง
คือถ้าที่พักไหนขึ้นราคาแพง ๆ เมื่อเทียบกับคู่แข่งในระดับใกล้เคียงกัน อัตราการจองและการเข้าพัก ก็จะน้อยลงเยอะได้
3. สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Proportion of Income Spent)
ยกตัวอย่างเช่น
- กาแฟแก้วละ 50 บาท ขึ้นราคาเป็นแก้วละ 60 บาท
- กาแฟแก้วละ 50 บาท ขึ้นราคาเป็นแก้วละ 60 บาท
- ชาบูพรีเมียมบุฟเฟต์ ครั้งละ 1,000 บาท ขึ้นราคาเป็น 1,200 บาท
จะเห็นว่าสินค้าทั้ง 2 ประเภท ปรับราคาขึ้น 20% เท่ากัน
ถ้าเรามีรายได้เดือนละ 30,000 บาท
ไอเดียของปัจจัยข้อนี้คือ
สินค้าไหน ที่มีสัดส่วนราคาต่ำ เมื่อเทียบกับรายได้ สินค้านั้นก็จะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาต่ำ
สินค้าไหน ที่มีสัดส่วนราคาต่ำ เมื่อเทียบกับรายได้ สินค้านั้นก็จะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาต่ำ
ส่วนสินค้าไหน ที่มีสัดส่วนราคาสูง เมื่อเทียบกับรายได้ สินค้านั้นก็จะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสูง
เพราะฉะนั้นถ้าจากเคสข้างบนนี้
ชาบูพรีเมียมบุฟเฟต์ จะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา ที่สูงกว่า กาแฟ
ชาบูพรีเมียมบุฟเฟต์ จะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา ที่สูงกว่า กาแฟ
4. ช่วงเวลาในการปรับตัว (Time Horizon)
สำหรับข้อนี้ จะเป็นการอธิบายว่า ถ้าสินค้าจำเป็นต่าง ๆ ขึ้นราคา
ในระยะสั้น คนก็จะยังซื้ออยู่ดี เพราะหาสินค้าทดแทนได้ยาก อย่างเช่น
- น้ำมันเบนซินที่ขึ้นราคา คนก็ยังคงต้องเติมอยู่ดี
- ค่าไฟ ที่ปรับตัวแพงขึ้น คนก็ยังต้องเปิดแอร์ และใช้ไฟฟ้าเหมือนเดิม
- ค่าไฟ ที่ปรับตัวแพงขึ้น คนก็ยังต้องเปิดแอร์ และใช้ไฟฟ้าเหมือนเดิม
แต่ถ้าหากว่าสินค้าดังกล่าว ปรับราคาขึ้นเป็นระยะเวลายาวนาน จนผู้บริโภคสามารถปรับตัวได้
โดยผู้บริโภค สามารถหาซื้อสินค้าอย่างอื่นมาใช้ เพื่อทดแทนสินค้าเดิม
โดยผู้บริโภค สามารถหาซื้อสินค้าอย่างอื่นมาใช้ เพื่อทดแทนสินค้าเดิม
ยกตัวอย่างเช่น
- ถ้าน้ำมันเบนซินขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง จนผู้บริโภครู้สึกว่าน้ำมันแพงมากเกินไป
ผู้คนก็จะหันมาใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ อย่าง รถไฟฟ้า ที่มีราคาถูกกว่ามากขึ้น
- หรือค่าไฟ ที่มีราคาแพงขึ้นเป็นระยะเวลายาวนาน
หลาย ๆ บ้าน จึงหันมาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อเป็นทางเลือกในการประหยัดค่าไฟแทน
หลาย ๆ บ้าน จึงหันมาติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อเป็นทางเลือกในการประหยัดค่าไฟแทน
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าสินค้าบางอย่าง เช่น น้ำมันรถ หรือ ไฟฟ้า
แม้ในระยะสั้น สินค้าเหล่านี้จะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาต่ำ (ตามข้อ 1)
แม้ในระยะสั้น สินค้าเหล่านี้จะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาต่ำ (ตามข้อ 1)
แต่ในระยะยาว สินค้าเหล่านี้ก็จะมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสูง
เพราะผู้บริโภคสามารถปรับตัว ด้วยการหาสินค้าอย่างอื่น มาทดแทนได้
เพราะผู้บริโภคสามารถปรับตัว ด้วยการหาสินค้าอย่างอื่น มาทดแทนได้
5. ความแข็งแกร่ง หรือ ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty)
นอกจากความยืดหยุ่นต่อราคา จะมีผลกับประเภทสินค้าแล้ว
ความยืดหยุ่นต่อราคา ก็มีความเชื่อมโยงกับเรื่อง Brand Loyalty เช่นเดียวกัน
ความยืดหยุ่นต่อราคา ก็มีความเชื่อมโยงกับเรื่อง Brand Loyalty เช่นเดียวกัน
คือยิ่งสินค้าและบริการ มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งจนลูกค้าติด หรือจงรักภักดีต่อแบรนด์
แบรนด์นั้น ก็จะมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้าและบริการมากขึ้น
แบรนด์นั้น ก็จะมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้าและบริการมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น
- แบรนด์สมาร์ตโฟน อย่าง Apple
ซึ่งเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และลูกค้ามี Loyalty หรือความจงรักภักดีต่อแบรนด์สูง
- แบรนด์สมาร์ตโฟน อย่าง Apple
ซึ่งเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และลูกค้ามี Loyalty หรือความจงรักภักดีต่อแบรนด์สูง
เมื่อเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าสมาร์ตโฟน Apple รุ่นใหม่ ๆ จะปรับราคาขึ้นมากกว่าเดิม
แต่ลูกค้าก็ยังอยากจะซื้อเหมือนเดิม
แต่ลูกค้าก็ยังอยากจะซื้อเหมือนเดิม
นอกจากนี้ เคสสินค้าแบรนด์หรู อย่าง Louis Vuitton, Chanel หรือ Hermès ก็เช่นเดียวกัน
โดยถ้าแบรนด์หรูเหล่านี้ออกสินค้าตัวใหม่ขึ้นมา และมีการปรับราคาขึ้นจากสินค้ารุ่นเก่า ๆ
กลุ่มผู้บริโภค หรือกลุ่มลูกค้าที่มี Brand Loyalty สูง
กลุ่มผู้บริโภค หรือกลุ่มลูกค้าที่มี Brand Loyalty สูง
ก็ยังคงติดตาม หรือหาซื้อสินค้ารุ่นใหม่ ๆ อยู่เสมอ
และจะเลือกซื้อสินค้านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องราคาเป็นหลัก
และจะเลือกซื้อสินค้านั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องราคาเป็นหลัก
ดังนั้น เรื่องแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ก็สามารถเป็นตัวที่บ่งบอกถึงเรื่อง ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา ได้ระดับหนึ่ง
โดยยิ่งแบรนด์ไหนที่แข็งแกร่ง หรือมี Brand Loyalty สูง แบรนด์นั้น ก็จะยิ่งมีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาต่ำ
ส่วนแบรนด์ไหนที่ดูไม่ค่อยแข็งแรง หรือลูกค้าไม่ค่อยติด แบรนด์สินค้านั้น จะถือว่ามีความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาสูง
ทำให้สินค้าหลาย ๆ แบรนด์ต้องขายตัดราคา
ให้ต่ำกว่าคู่แข่ง เพื่อดึงลูกค้าให้มาซื้อสินค้าของตัวเองมากขึ้นนั่นเอง
ให้ต่ำกว่าคู่แข่ง เพื่อดึงลูกค้าให้มาซื้อสินค้าของตัวเองมากขึ้นนั่นเอง
สรุปปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อความยืดหยุ่นของราคา (Price Elasticity of Demand) นั่นก็คือ
- สินค้าถูกทดแทนง่ายหรือไม่ (Availability of Substitutes)
- ความจำเป็นของสินค้า (Necessity & Luxury)
- สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Proportion of Income Spent)
- ช่วงเวลาในการปรับตัว (Time Horizon)
- ความแข็งแกร่ง หรือ ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty)
- ความจำเป็นของสินค้า (Necessity & Luxury)
- สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Proportion of Income Spent)
- ช่วงเวลาในการปรับตัว (Time Horizon)
- ความแข็งแกร่ง หรือ ความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty)
References
-https://www.marketthink.co/51979
-https://www.investopedia.com/terms/p/priceelasticity.asp
-https://www.stlouisfed.org/open-vault/2024/june/price-elasticity-demand-explained?utm_source=chatgpt.com
-https://www.researchgate.net/publication/227441998_An_Empirical_Analysis_of_the_Relationship_Between_Brand_Loyalty_and_Consumer_Price_Elasticity
-https://www.marketthink.co/51979
-https://www.investopedia.com/terms/p/priceelasticity.asp
-https://www.stlouisfed.org/open-vault/2024/june/price-elasticity-demand-explained?utm_source=chatgpt.com
-https://www.researchgate.net/publication/227441998_An_Empirical_Analysis_of_the_Relationship_Between_Brand_Loyalty_and_Consumer_Price_Elasticity