อธิบายวิธีคิด Semi Fixed Cost ถ้าเราเปิดร้านพิซซา แล้วขายดี ทำไมต้องเจอ “ต้นทุนกึ่งคงที่”

อธิบายวิธีคิด Semi Fixed Cost ถ้าเราเปิดร้านพิซซา แล้วขายดี ทำไมต้องเจอ “ต้นทุนกึ่งคงที่”

25 ม.ค. 2025
-ในโลกธุรกิจ มีต้นทุนหลัก ๆ อยู่ 2 ประเภท คือ
1.ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) คือต้นทุนที่เราต้องจ่ายเสมอ ไม่ว่าของจะขายได้หรือไม่ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าที่ 
2.ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คือต้นทุนที่แปรผันไปตามยอดขาย อย่างเช่น ต้นทุนวัตถุดิบ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเปิดร้านขายพิซซา
- เราจะมีต้นทุนคงที่ เช่น ค่าจ้างพนักงาน, ค่าเช่าที่ 
เพราะไม่ว่าร้านพิซซา จะขายพิซซาได้ 0 ถาด หรือ 100 ถาด ค่าเช่าที่ และค่าจ้างพนักงาน ก็เป็นค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายอยู่ดี
- เรามีต้นทุนผันแปร ที่ขึ้นอยู่กับจำนวนออร์เดอร์ 
คือต้นทุนวัตถุดิบทำพิซซา อย่างเช่น แป้ง, เครื่องปรุงรส
แต่เมื่อเราทำธุรกิจไปเรื่อย ๆ เราอาจเห็นว่า
ต้นทุนคงที่ อย่างเช่น ค่าจ้างพนักงาน และค่าน้ำค่าไฟ มองในอีกมุม อาจไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายคงที่เสมอไป
สมมติว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราเปิดร้านมาได้สักพัก ปรากฏว่าร้านพิซซาของเรา ขายดีมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อร้านพิซซาขายดี หรือมียอดขายโตขึ้น 
ร้านพิซซาก็อาจต้องจ้างพนักงานเพิ่ม เพื่อดูแลลูกค้าให้ทั่วถึง หรือลงทุนเช่าพื้นที่เพิ่มเพื่อขยายร้านใหม่
และจะเห็นได้ว่า ค่าจ้างพนักงาน ที่เป็นต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ถ้ามองในมุมว่าถ้าร้านขายดีเราจะจ้างคนเพิ่ม 
ค่าจ้างพนักงาน ก็จะกลายเป็นต้นทุนที่ผันแปรไปตามปริมาณการผลิต หรือยอดขายได้เหมือนกัน..
ทำให้ในอีกมุมหนึ่ง เราสามารถมองต้นทุนดังกล่าว ว่าเป็นต้นทุนกึ่งคงที่ หรือ “Semi Fixed Cost” ก็ได้
ซึ่งนิยามของ Semi Fixed Cost 
ก็คือ ต้นทุนคงที่ที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อปริมาณการผลิต หรือยอดขายของเรา เพิ่มขึ้นมาถึงจุด ๆ หนึ่ง
ตัวอย่างเช่น
- โรงงานผลิตสินค้าที่มีพนักงานอยู่จำนวนหนึ่ง 
แต่เมื่อโรงงานมียอดผลิตสินค้ามากขึ้นเกินกำลังการผลิต ก็จำเป็นต้องจ้างพนักงานเพิ่มอีกกะ หรือจ่ายเงินค่าล่วงเวลา หรือ OT ให้กับพนักงานเพิ่ม
- เซลส์แมน ที่ทำยอดขายของบริษัทได้ถึงเป้า บริษัทจะต้องให้ค่าแรงจูงใจ หรือ Incentive เพิ่มเติมให้กับเซลส์แมนคนนั้น
- ร้านอาหารแบรนด์ดัง ที่มาเช่าที่ภายในศูนย์การค้า เมื่อยอดขายโตขึ้นก็ตัดสินใจขยายร้าน โดยต้องจ้างพนักงานและจ่ายค่าเช่าที่แพงขึ้น
ซึ่งจะเห็นได้ว่า เมื่อร้านอาหารขายดี มียอดขายจากสินค้า หรือกำลังการผลิตที่มากขึ้น
ต้นทุน Semi Fixed Cost ก็จะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
เพื่อให้เห็นภาพชัด ๆ BrandCase จะลองยกเคสร้านพิซซา มาคำนวณให้ดูเป็นตัวเลขกันไปเลย
1. สมมติว่า ร้านพิซซาแห่งหนึ่ง ขายพิซซาได้เฉลี่ยวันละ 100 ถาด
มีพนักงาน 10 คน และเจ้าของร้านต้องจ่ายค่าแรงให้กับพนักงาน วันละ 400 บาท
เท่ากับว่าเจ้าของร้าน มีต้นทุนค่าแรงที่ต้องจ่ายให้พนักงาน เท่ากับ 400 บาท x 10 คน = 4,000 บาทต่อวัน
2. สมมติว่า ร้านพิซซาของเราขายดีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมียอดขายเกินวันละ 200 ถาด
ด้วยยอดขายที่โตมากขึ้น ทำให้เจ้าของร้านต้องจ้างพนักงานเพิ่มจาก 10 คนเป็น 15 คน 
เพื่อให้บริการลูกค้าได้ทัน
นั่นเท่ากับว่าเจ้าของร้านมีต้นทุนค่าแรง ที่ต้องจ่ายให้พนักงาน
เท่ากับ 400 บาท x 15 คน = 6,000 บาทต่อวัน
3. สมมติว่า มีลูกค้าติดใจพิซซาร้านของเรามาก ๆ จนมียอดขายพิซซาเกินวันละ 300 ถาด
ซึ่งเจ้าของร้านพิซซา ตัดสินใจไม่จ้างพนักงานเพิ่ม
แต่จะจ่ายค่า Incentive หรือค่าแรงจูงใจให้กับพนักงาน ในกรณีที่ทำยอดขายได้เกินเป้า
โดยถ้าหากว่าเจ้าของร้าน จ่ายค่า Incentive ให้กับพนักงานเพิ่มคนละ 100 บาท
นั่นเท่ากับว่า ค่า Incentive ที่ต้องจ่ายให้กับพนักงาน 
จะอยู่ที่ 15 คน x 100 บาท ก็จะเท่ากับ 1,500 บาท
เมื่อรวมกับ ต้นทุนค่าแรงที่ต้องจ่ายให้กับพนักงานอยู่แล้วที่ 6,000 บาทต่อวัน เท่ากับว่า ต้นทุนค่าแรงทั้งหมดที่ต้องจ่ายให้กับพนักงาน
เท่ากับ 1,500 บาท + 6,000 บาท = 7,500 บาทต่อวัน นั่นเอง
จากเคสตัวอย่างค่าจ้างพนักงานร้านพิซซา ตามสมมติฐานนี้ ก็จะสรุปต้นทุน Semi Fixed Cost ได้ดังนี้
- ถ้าทำพิซซาออกมาขายได้วันละ 100 - 199 ถาด ค่าแรงที่ต้องจ่ายพนักงาน จะอยู่ที่ 4,000 บาท
- ถ้าทำพิซซาออกมาขายได้วันละ 200 - 299 ถาด ค่าแรงที่ต้องจ่ายพนักงาน จะอยู่ที่ 6,000 บาท
- ถ้าทำพิซซาออกมาขายได้วันละ 300 ถาดขึ้นไป ค่าแรงที่ต้องจ่ายพนักงาน จะอยู่ที่ 7,500 บาท
ก็จะเห็นได้ว่า เมื่อยอดขายของพิซซาเพิ่มมากขึ้นถึงจำนวนหนึ่ง Semi Fixed Cost เราจะเพิ่มขึ้นในลักษณะเป็นขั้นบันได
และอีกอย่างที่สำคัญก็คือ 
ถ้าเราสามารถควบคุม Semi Fixed Cost ได้ดี ธุรกิจของเรา ก็จะมีอัตรากำไรที่มากขึ้นได้ 
เช่นจากตัวอย่างด้านบน 
- จากเดิมที่เราขายพิซซา 100 ถาด ใช้พนักงาน 10 คน
วันหนึ่งยอดขายโตขึ้นเป็น 200 ถาด หรือมียอดขายโตมากขึ้นเป็นเท่าตัว
แต่เราไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานเพิ่มเป็น 20 คน หรือเพิ่มเป็นเท่าตัวตามยอดขายเสมอไป
ถ้าเราเลือกจ้างพนักงานเพิ่มเพียงแค่ 5 คน แล้วบริหารพนักงานในร้านให้ดีขึ้น เช่น แบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน ก็จะประหยัดต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาได้
- หรือถ้าเราทำพิซซาได้ 300 ถาดต่อวันขึ้นไป เราอาจไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นอีก
แต่เรามีทางเลือกอีกอย่าง คือการให้ Incentive หรือเงินก้อน สำหรับเป็นแรงจูงใจเพิ่มเติมให้แก่พนักงาน ถ้ายอดขายถึงเป้า
ซึ่งการทำแบบนี้ นอกจากจะสามารถควบคุมต้นทุนพนักงาน ที่ถือเป็น Semi Fixed Cost ได้แล้ว
ก็ยังสามารถสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพนักงานในร้านได้อีกด้วย
โจทย์สำคัญสำหรับผู้ประกอบการก็คือ จะทำอย่างไร ให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่าย ที่เป็น Semi Fixed Cost ให้ดีที่สุด
ถ้าทำได้ หมายความว่า เวลายอดขายเราเพิ่มขึ้น เราก็จะมีโอกาสทำ อัตรากำไร ได้มากขึ้น..
© 2025 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.