สู่ 4 พันล้าน จระเข้ แบรนด์วัสดุก่อสร้างสัญชาติไทย ฉลองครบรอบ 32 ปีย้อนปรากฏการณ์วงการก่อสร้าง จาก “จุดเริ่มต้น” สู่ “เบอร์หนึ่ง”กาวซีเมนต์-ยาแนว เจาะโมเดลธุรกิจไทยด้วยนวัตกรรมลุยเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ เคมีก่อสร้าง-สีพรีเมียม

สู่ 4 พันล้าน จระเข้ แบรนด์วัสดุก่อสร้างสัญชาติไทย ฉลองครบรอบ 32 ปีย้อนปรากฏการณ์วงการก่อสร้าง จาก “จุดเริ่มต้น” สู่ “เบอร์หนึ่ง”กาวซีเมนต์-ยาแนว เจาะโมเดลธุรกิจไทยด้วยนวัตกรรมลุยเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ เคมีก่อสร้าง-สีพรีเมียม

11 ก.ย. 2024
ตลอดเวลากว่า 32 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่คงจะคุ้นหูคุ้นตากับผลิตภัณฑ์นวัตกรรมก่อสร้างของ “แบรนด์จระเข้” มาไม่มากก็น้อย ด้วยชื่อและโลโก้แบรนด์ที่สะดุดตาจนใครเห็นก็ต้องจำได้
แต่สำหรับวงการก่อสร้างเมืองไทยแล้ว ชื่อของ “จระเข้” หรือ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ถือเป็นอีกหนึ่งตำนานแห่งวงการในฐานะธุรกิจสัญชาติไทยที่ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ
มาเสริมคุณภาพและประสิทธิภาพการใช้งานของสินค้าอยู่เสมอ การพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งภายใต้เป้าหมายในการยกระดับวงการก่อสร้างนี้ ได้ส่งผลให้ “จระเข้” เติบโตมาอย่างแข็งแกร่ง
จนปีนี้ประกาศมุ่งสู่รายได้ 4,000 ล้านบาท เพื่อฉลองครบรอบปีที่ 32 แห่งการดำเนินธุรกิจเคียงคู่สังคมไทย พร้อมเดินหน้าเป็นเจ้าตลาดกาวซีเมนต์-กาวยาแนว และลุยเจาะมาร์เก็ตแชร์สินค้าเคมีก่อสร้างและผลิตภัณฑ์สีพรีเมียมอย่างเต็มกำลัง
เปิดเส้นทาง 32 ปีแห่งการ “ตั้งต้น-ต่อยอด-เติบโต”จุดเริ่มต้นของ “จระเข้” ย้อนกลับไปในปี 2535 เมื่อกลุ่มเพื่อนพนักงานประจำ ฝันอยากคิดค้นผลิตภัณฑ์กาวซีเมนต์ปูกระเบื้องที่มีคุณภาพสูงและตอบโจทย์การใช้งานที่สะดวกสบายมากขึ้น
พวกเขาจึงตัดสินใจร่วมทุนกันก่อตั้งบริษัท เซอรา ซี-เคียว จำกัด ในวันที่ 28 สิงหาคม 2535 และจากความตั้งใจที่จะแก้ Pain Point ของการปูกระเบื้องในวันนั้น ได้ถือกำเนิดเป็นผลิตภัณฑ์แรกอย่างกาวซีเมนต์ “จระเข้เขียว”
ในปี 2536 ที่ใช้เทคโนโลยีจากสหรัฐอเมริกาที่ยังคงยืนหยัดในคุณภาพและได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานมาจนถึงทุกวันนี้ การนำเสนอ “กาวซีเมนต์จระเข้เขียว” เพื่อใช้ในการปูกระเบื้องโดยเฉพาะ แทนการใช้ปูนซีเมนต์ผสม
ถือเป็น Game Changer ที่เข้ามาพลิกโฉมตลาดและยกระดับมาตรฐานคุณภาพของงานปูกระเบื้องของเมืองไทย ในยุคนั้น แบรนด์จระเข้ ถือเป็นหน้าใหม่ที่ยังไม่มีใครรู้จัก กลุ่มผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท รวมถึง นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหารของจระเข้ในปัจจุบัน
ต้องขับรถไปทั่วไทยพบปะลูกค้ากว่า 600 อำเภอ เพื่อแนะนำสินค้า สาธิตการใช้งาน พร้อมกับรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริง เพื่อเก็บข้อมูลไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่แก้ Pain Point ของลูกค้า
10 ปีต่อมา จากความมานะบากบั่นของผู้บริหารและพนักงานทุกคน บริษัททำยอดขายแตะ 115 ล้านบาทครั้งแรกในปี 2546 และในปีเดียวกันนี้ จระเข้ ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการอีกครั้งด้วยการเปิดตัว
“กาวยาแนวจระเข้ พรีเมียม พลัส” กาวยาแนวป้องกันราดำรายแรกของโลก ด้วยเทคโนโลยีไมโครแบน (Microban) นับเป็นผลผลิตจากการตั้งใจวิจัยและพัฒนาเพื่อป้องกันราดำในร่องยาแนว
ปัญหาที่พบได้บ่อยในประเทศร้อนชื้นอย่างเมืองไทย ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้ใช้งาน พร้อมสร้างชื่อเสียงให้แบรนด์จระเข้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะผู้พลิกโฉมวงการก่อสร้างไทยด้วยนวัตกรรมระดับโลก จากรายได้หลักร้อยล้านจึงนำไปสู่ 2,017 ล้านบาทในปี 2557 และต่อมาในปี 2560 จระเข้
ได้กลายเป็นผู้ครองตลาดอันดับหนึ่งในกลุ่มกาวซีเมนต์และกาวยาแนว ด้วยส่วนแบ่งมากกว่า 50% และยังคงครองเบอร์หนึ่งมาจนถึงปัจจุบัน ในปี 2566 บริษัทสร้างรายได้มากถึง 3,707 ล้านบาท สอดคล้องไปกับการขยายไลน์อัพสินค้านวัตกรรมก่อสร้างที่หลากหลายครอบคลุมการใช้งานมากยิ่งขึ้นในทุก ๆ ปี
จากจุดเริ่มต้น สู่ 4,000 ล้านบาท เพราะแข่งขันด้วย Innovation ในปี 2567 จระเข้ ยังคงเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์และเสริมทัพกระบวนการผลิตในทุกขั้นตอนภายใต้มาตรฐานระดับโลก เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ครอบคลุมงานก่อสร้างตั้งแต่ฐานรากจนถึงหลังคา
ทุกโปรดักต์ล้วนเปี่ยมด้วยนวัตกรรมที่ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์การใช้งาน แต่ต้องปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตามปรัชญาองค์กร “Innovation For Your Family’s Happiness - นวัตกรรมก่อสร้างความสุขเพื่อคุณและครอบครัว”
เพื่อให้แบรนด์ของคนไทยอย่างจระเข้ เป็นแบรนด์ที่วงการก่อสร้างทุกเซกเมนต์ไว้วางใจต่อไป ในปีนี้ จระเข้ประกาศมุ่งสู่รายได้ 4,000 ล้านบาท พร้อมกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจผ่านการลุยตลาดเคมีก่อสร้างและผลิตภัณฑ์สีพรีเมียม
ที่ยังมีพื้นที่ในการเติบโตอีกมาก บวกกับการลุยตลาดต่างประเทศเพื่อนำเสนอนวัตกรรมก่อสร้างคุณภาพระดับมาตรฐานสากล มุ่งสู่การเป็นโกลบอลแบรนด์จากเมืองไทย
เปิดกลยุทธ์สู่ก้าวต่อไปที่มั่นคงนายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เผยว่า “ตลอดกว่า 32 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ของเราได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่งครบวงจร ที่มีฐานลูกค้าอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่อสังหาฯ
การท่องเที่ยว โรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานของหน่วยงานภาครัฐ เป้าหมายต่อจากนี้ คือการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวในเมืองไทยต่อไป
พร้อมเดินหน้าเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้างและสีพรีเมียม เราเล็งเห็นโอกาสเติบโตในสองเซกเมนต์นี้ เพราะจระเข้ นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีจุดแข็งชัดเจน ในการแก้ Pain Point เสมอ นอกจากเราจะเน้นคุณภาพและการใช้งานที่สะดวกแล้ว นวัตกรรมของเรายังปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย
และใส่ใจสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการผลิต หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการสานต่อแคมเปญการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับกลุ่มสินค้าอื่น ๆ ของจระเข้ตามคอนเซปต์ ‘ใช้จระเข้ร่วมกัน ปกป้องทั้งบ้าน’ นอกจากนี้ อีกหนึ่งแผนธุรกิจที่ช่วยเสริมความมั่นคงของเรา
คือตลาดต่างประเทศ โดย จระเข้ จัดจำหน่ายสินค้าในตลาด CLMV หรือกัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา และเวียดนาม มาสักพักใหญ่แล้ว เราได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและตอนนี้กำลังศึกษาโมเดลธุรกิจในการเจาะตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ต่อไป”
ภารกิจใหม่กับการยกระดับวงการก่อสร้างสีเขียว
อีกหนึ่งภารกิจที่จระเข้ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เพื่อการเติบโตของธุรกิจต่อจากนี้ คือ การลดการปล่อยคาร์บอนในทุกกระบวนการผลิตเพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน
ผ่านเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 5 ข้อ (5SD) ซึ่งเป็นแนวทางพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนและปลูกฝังความตระหนักรู้เรื่องบทบาทของทุกคนในการร่วมดูแลรักษาโลกให้คงอยู่สำหรับคนรุ่นต่อไป ได้แก่
1.ลดการปล่อย CO2: มุ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิตและการดำเนินงานทั้งหมด โดยจระเข้ได้ลดการปล่อยคาร์บอนได้ 11,118,806 กิโลกรัมคาร์บอน
2.ลดปริมาณขยะและของเสีย: จัดการขยะและของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการรีไซเคิลขยะให้เกิดประโยชน์ โดยจระเข้ ได้จัดการขยะรีไซเคิลไปแล้ว 120,499 กิโลกรัม
3.ลดการใช้สารพิษ: ลดการใช้และการปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตรายในกระบวนการผลิต โดยจระเข้ได้ลดฝุ่นไปแล้ว 2,522,217 กิโลกรัม ด้วยการปรับปรุงกระบวนการผลิต
4.เพิ่มสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: พัฒนาและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยยอดขายสินค้ากลุ่ม Green Products คิดเป็น 62% จากยอดขายทั้งหมด
5.สนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิต: สนับสนุนกิจกรรมที่ยกระดับคุณภาพชีวิต ครอบคลุมด้านการศึกษา สุขอนามัย และสิ่งแวดล้อม เดินหน้าทำงานร่วมกับชุมชนและองค์กร เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม โดยจระเข้ได้พัฒนาทักษะคนไปแล้วกว่า 12,274 คน
“ต่อจากนี้ ทุกผลิตภัณฑ์ ทุกกระบวนการผลิต ทุกการดำเนินงานในองค์กร และทุกโครงการ CSR ที่จระเข้ริเริ่มจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ จระเข้
ขอเป็นแบรนด์ไทยที่เติบโตได้อย่างมั่นคงพร้อมไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและการขับเคลื่อนสังคมตามแนวคิด ‘เราอยู่ได้ – โลกอยู่ดี – สังคมมีสุข’ ของจระเข้” นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.