
ทำไม โอเล่ แบรนด์ลูกอมในตำนาน ต้องมาทำสกินแคร์ขาย
23 มี.ค. 2022
ทำไม โอเล่ แบรนด์ลูกอมในตำนาน ต้องมาทำสกินแคร์ขาย | BrandCase
แทบทุกคนต้องเคยกินลูกอมโอเล่ ที่มักจะมีกลิ่นผลไม้เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ
แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า แบรนด์โอเล่ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นลูกอมแล้ว เพราะวันนี้ได้แตกไลน์มาทำสินค้าดูแลผิว หรือสกินแคร์ เป็นที่เรียบร้อย
ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อเราพูดถึง โอเล่ เราก็จะนึกถึงลูกอมทันที เพราะโอเล่เป็นแบรนด์ลูกอมอายุ 50 ปี ที่เติบโตมาพร้อมกับใครหลายคน
นั่นก็แปลว่า ที่ผ่านมา โอเล่ ก็ดูจะสร้างแบรนด์ลูกอมมาได้อย่างแข็งแกร่ง จนกลายเป็น Top of Mind แล้ว แต่ทำไมวันนี้ถึงเลือกมาทำผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ทั้ง ๆ ที่ตลาดนี้มีเจ้าตลาดเดิมอยู่มากมาย
BrandCase จะสรุปให้ฟัง..
1. ตลาดสกินแคร์กำลังเนื้อหอม
ลองมาดูมูลค่าตลาดสกินแคร์ทั่วโลก ข้อมูลจาก Statista
ปี 2019 มีมูลค่าตลาด 4.7 ล้านล้านบาท
ปี 2020 มีมูลค่าตลาด 4.9 ล้านล้านบาท
ปี 2021 มีมูลค่าตลาด 5.2 ล้านล้านบาท
จากตัวอย่างแค่ 3 ปีนี้ ก็จะเห็นว่ามูลค่าตลาดสกินแคร์นี้ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 5.2% ต่อปี ซึ่งแม้ไม่ได้หวือหวามาก แต่ก็ถือว่าเติบโตในระดับที่ดี
และสำหรับในไทย ตลาดนี้ก็เติบโตได้น่าสนใจเหมือนกัน
ซึ่งข้อมูลจาก BLT Bangkok ระบุว่า ในปี 2019 อุตสาหกรรมความงามในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 6.7% เมื่อเทียบกับปี 2018 และมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2.2 แสนล้านบาท
โดยเฉพาะในกลุ่มสกินแคร์ดูแลผิวหน้า ที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้นแบรนด์ลูกอมที่เติบโตมานาน หรือพูดง่าย ๆ ว่าอยู่มานาน และเติบโตจนชนเพดานแล้ว
ก็ไม่น่าแปลก ที่จะอยากขยับขยาย สร้างความท้าทายใหม่ ด้วยการกระโดดเข้ามาในตลาดสกินแคร์ที่ดูจะมีโอกาสเติบโตบ้างนั่นเอง
2. เทรนด์สกินแคร์กลิ่นขนมหวาน เป็นกิมมิกแปลกใหม่ ที่สร้างสีสันให้กับแบรนด์ได้
รู้ไหมว่าที่ผ่านมา แบรนด์ลูกอมระดับโลกอย่าง จูปา จุ๊ปส์ ก็ได้ทำสกินแคร์กลิ่นขนม เพื่อปัดฝุ่นแบรนด์เก่าที่อยู่ในตลาดมานาน ให้ดูเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงคนวัยอื่นที่มีกำลังซื้อได้มากขึ้น ไม่ใช่เป็นแบรนด์ที่มีแค่เด็กที่อยากซื้อ
และการที่นำแบรนด์เดิมที่ติดตลาดแล้ว มาลองทำอะไรใหม่ ๆ เมื่อผู้บริโภคเห็นก็จะเกิดความรู้สึกอยากทดลองใช้ได้ง่ายขึ้น ด้วยความที่คุ้นเคยกับตัวแบรนด์อยู่แล้ว
3. แบรนด์ยังเห็นช่องว่างและจุดขายที่แปลกใหม่ ในเรื่องของ “กลิ่น”
ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าจุดขายของสกินแคร์มักจะเป็นเรื่องการดูแลผิวให้ชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ ลดฝ้ากระ หรือออกมาตอบโจทย์คนที่ผิวแพ้ง่าย
แต่กลุ่มธุรกิจสกินแคร์แบบแมส (Mass) ที่ออกมาเล่นเรื่องของกลิ่น ยังไม่ค่อยมีผู้เล่นยักษ์ใหญ่มาเล่นมากเท่าไรนัก
ดังนั้นแบรนด์โอเล่ จึงดึงจุดเด่นเรื่องของกลิ่นสตรอว์เบอร์รีมาเป็นจุดขาย เอาใจกลุ่มลูกค้าที่ชอบกลิ่นแบบหอมหวาน และชื่นชอบความสดชื่นนั่นเอง
ซึ่งใครที่เคยกินลูกอมโอเล่ก็คงจะรู้แล้วว่า แบรนด์นี้ทำเรื่องกลิ่นได้ดีแค่ไหน
เพราะเพียงแค่แกะห่อลูกอมโอเล่ กลิ่นสตรอว์เบอร์รีก็ฟุ้งขึ้นมาทันที
สรุปง่าย ๆ ก็คือ สิ่งที่ทำให้โอเล่เปลี่ยนตัวเองจาก “ของกิน” มาเป็น “ของใช้” ก็คือ ตลาดสกินแคร์กำลังค่อย ๆ เติบโต และในขณะเดียวกันแบรนด์ลูกอมก็เริ่มดูเก่าและอิ่มตัว
ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้แบรนด์เก่ามีชีวิตขึ้นมาได้ ก็คือการลองทำอะไรใหม่ ๆ
ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อว่า โอเล่ แบรนด์ลูกอมอายุ 50 ปี จะก้าวผ่านความท้าทายใหม่ ๆ นี้ ไปได้หรือไม่..
References
- https://www.statista.com/statistics/254612/global-skin-care-market-size/
- https://www.osotspadelivery.com/th/category/116661/category-116661
- https://www.bltbangkok.com/lifestyle/22510/
แทบทุกคนต้องเคยกินลูกอมโอเล่ ที่มักจะมีกลิ่นผลไม้เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ
แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า แบรนด์โอเล่ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็นลูกอมแล้ว เพราะวันนี้ได้แตกไลน์มาทำสินค้าดูแลผิว หรือสกินแคร์ เป็นที่เรียบร้อย
ที่น่าสนใจก็คือ เมื่อเราพูดถึง โอเล่ เราก็จะนึกถึงลูกอมทันที เพราะโอเล่เป็นแบรนด์ลูกอมอายุ 50 ปี ที่เติบโตมาพร้อมกับใครหลายคน
นั่นก็แปลว่า ที่ผ่านมา โอเล่ ก็ดูจะสร้างแบรนด์ลูกอมมาได้อย่างแข็งแกร่ง จนกลายเป็น Top of Mind แล้ว แต่ทำไมวันนี้ถึงเลือกมาทำผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ทั้ง ๆ ที่ตลาดนี้มีเจ้าตลาดเดิมอยู่มากมาย
BrandCase จะสรุปให้ฟัง..
1. ตลาดสกินแคร์กำลังเนื้อหอม
ลองมาดูมูลค่าตลาดสกินแคร์ทั่วโลก ข้อมูลจาก Statista
ปี 2019 มีมูลค่าตลาด 4.7 ล้านล้านบาท
ปี 2020 มีมูลค่าตลาด 4.9 ล้านล้านบาท
ปี 2021 มีมูลค่าตลาด 5.2 ล้านล้านบาท
จากตัวอย่างแค่ 3 ปีนี้ ก็จะเห็นว่ามูลค่าตลาดสกินแคร์นี้ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 5.2% ต่อปี ซึ่งแม้ไม่ได้หวือหวามาก แต่ก็ถือว่าเติบโตในระดับที่ดี
และสำหรับในไทย ตลาดนี้ก็เติบโตได้น่าสนใจเหมือนกัน
ซึ่งข้อมูลจาก BLT Bangkok ระบุว่า ในปี 2019 อุตสาหกรรมความงามในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 6.7% เมื่อเทียบกับปี 2018 และมูลค่าตลาดอยู่ที่ 2.2 แสนล้านบาท
โดยเฉพาะในกลุ่มสกินแคร์ดูแลผิวหน้า ที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้นแบรนด์ลูกอมที่เติบโตมานาน หรือพูดง่าย ๆ ว่าอยู่มานาน และเติบโตจนชนเพดานแล้ว
ก็ไม่น่าแปลก ที่จะอยากขยับขยาย สร้างความท้าทายใหม่ ด้วยการกระโดดเข้ามาในตลาดสกินแคร์ที่ดูจะมีโอกาสเติบโตบ้างนั่นเอง
2. เทรนด์สกินแคร์กลิ่นขนมหวาน เป็นกิมมิกแปลกใหม่ ที่สร้างสีสันให้กับแบรนด์ได้
รู้ไหมว่าที่ผ่านมา แบรนด์ลูกอมระดับโลกอย่าง จูปา จุ๊ปส์ ก็ได้ทำสกินแคร์กลิ่นขนม เพื่อปัดฝุ่นแบรนด์เก่าที่อยู่ในตลาดมานาน ให้ดูเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงคนวัยอื่นที่มีกำลังซื้อได้มากขึ้น ไม่ใช่เป็นแบรนด์ที่มีแค่เด็กที่อยากซื้อ
และการที่นำแบรนด์เดิมที่ติดตลาดแล้ว มาลองทำอะไรใหม่ ๆ เมื่อผู้บริโภคเห็นก็จะเกิดความรู้สึกอยากทดลองใช้ได้ง่ายขึ้น ด้วยความที่คุ้นเคยกับตัวแบรนด์อยู่แล้ว
3. แบรนด์ยังเห็นช่องว่างและจุดขายที่แปลกใหม่ ในเรื่องของ “กลิ่น”
ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าจุดขายของสกินแคร์มักจะเป็นเรื่องการดูแลผิวให้ชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ ลดฝ้ากระ หรือออกมาตอบโจทย์คนที่ผิวแพ้ง่าย
แต่กลุ่มธุรกิจสกินแคร์แบบแมส (Mass) ที่ออกมาเล่นเรื่องของกลิ่น ยังไม่ค่อยมีผู้เล่นยักษ์ใหญ่มาเล่นมากเท่าไรนัก
ดังนั้นแบรนด์โอเล่ จึงดึงจุดเด่นเรื่องของกลิ่นสตรอว์เบอร์รีมาเป็นจุดขาย เอาใจกลุ่มลูกค้าที่ชอบกลิ่นแบบหอมหวาน และชื่นชอบความสดชื่นนั่นเอง
ซึ่งใครที่เคยกินลูกอมโอเล่ก็คงจะรู้แล้วว่า แบรนด์นี้ทำเรื่องกลิ่นได้ดีแค่ไหน
เพราะเพียงแค่แกะห่อลูกอมโอเล่ กลิ่นสตรอว์เบอร์รีก็ฟุ้งขึ้นมาทันที
สรุปง่าย ๆ ก็คือ สิ่งที่ทำให้โอเล่เปลี่ยนตัวเองจาก “ของกิน” มาเป็น “ของใช้” ก็คือ ตลาดสกินแคร์กำลังค่อย ๆ เติบโต และในขณะเดียวกันแบรนด์ลูกอมก็เริ่มดูเก่าและอิ่มตัว
ดังนั้นสิ่งที่จะทำให้แบรนด์เก่ามีชีวิตขึ้นมาได้ ก็คือการลองทำอะไรใหม่ ๆ
ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อว่า โอเล่ แบรนด์ลูกอมอายุ 50 ปี จะก้าวผ่านความท้าทายใหม่ ๆ นี้ ไปได้หรือไม่..
References
- https://www.statista.com/statistics/254612/global-skin-care-market-size/
- https://www.osotspadelivery.com/th/category/116661/category-116661
- https://www.bltbangkok.com/lifestyle/22510/