
สรุปงบ NSL รายได้ 5,866 ล้าน กำไร 539 ล้าน พร้อมอธิบายคำว่า Operating Leverage
28 ก.พ. 2025
NSL หรือ บมจ.เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์ ผู้ผลิตแซนด์วิชอบร้อน เบเกอรีรองท้อง เน้นส่งขายให้กับ 7-Eleven
เพิ่งประกาศงบในช่วงครึ่งแรกของปี 2567
เพิ่งประกาศงบในช่วงครึ่งแรกของปี 2567
- รายได้ 5,866 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อนหน้า
- กำไร 539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% จากปีก่อนหน้า
- กำไร 539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% จากปีก่อนหน้า
โมเดลสัดส่วนรายได้ของ NSL ปี 2567
- กลุ่มเบเกอรีและอาหารพร้อมทาน เช่น แซนด์วิชอุ่นร้อน ส่งขายให้ 7-Eleven 86%
- กลุ่มเบเกอรีและอาหารพร้อมทาน เช่น แซนด์วิชอุ่นร้อน ส่งขายให้ 7-Eleven 86%
- กลุ่มสินค้าที่ NSL พัฒนาเอง เช่น แบรนด์ NSL Foods, NSL Bakery, ปังไท และข้าวแท่ง 8%
- Food Services วัตถุดิบอาหารนำเข้า เพื่อแปรรูปและตัดแต่งและติดแบรนด์ลูกค้า 5%
- รายได้อื่น ๆ 1%
ถ้าพูดถึงในมุมของการเติบโต เราจะเห็นได้ว่า NSL มีอัตราการเติบโตของกำไร
มากกว่าอัตราการเติบโตของรายได้เกือบ 3 เท่า
มากกว่าอัตราการเติบโตของรายได้เกือบ 3 เท่า
เรามาไล่ดูดีเทลจากงบการเงินปี 2567 ของบริษัทกัน
1. มีรายได้เติบโตขึ้น จากทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยมาจาก
- กลุ่มเบเกอรี และอาหารพร้อมทาน (เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน)
- กลุ่มสินค้า ที่เป็นแบรนด์ในเครือ NSL เอง (เพิ่มขึ้น 56% จากปีก่อน)
- Food Services เป็นสินค้าที่แปรรูปและตัดแต่งเนื้อสัตว์ (เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน)
รวมแล้ว NSL มีรายได้ 5,866 ล้านบาท +22% จากปีก่อนหน้า
2. มีสัดส่วนต้นทุนขาย หรือ Cost of Goods Sold ที่ต่ำลง
โดย Cost of Goods Sold หรือต้นทุนขาย คือ ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าและบริการโดยตรง
โดย Cost of Goods Sold หรือต้นทุนขาย คือ ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้าและบริการโดยตรง
สำหรับ NSL ก็คือ ต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตโดยตรง
โดยรายได้ทั้งหมดของ NSL เมื่อหักลบต้นทุนขายแล้ว ก็จะเหลือเป็น “กำไรขั้นต้น”
โดยรายได้ทั้งหมดของ NSL เมื่อหักลบต้นทุนขายแล้ว ก็จะเหลือเป็น “กำไรขั้นต้น”
โดยปี 2566
รายได้ทุก ๆ 100 บาท ของ NSL มีต้นทุนขาย 81.7 บาท เหลือเป็นกำไรขั้นต้น = 18.3 บาท
รายได้ทุก ๆ 100 บาท ของ NSL มีต้นทุนขาย 81.7 บาท เหลือเป็นกำไรขั้นต้น = 18.3 บาท
ส่วนปี 2567
รายได้ทุก ๆ 100 บาท ของ NSL มีต้นทุนขาย 79.5 บาท เหลือเป็นกำไรขั้นต้น = 20.5 บาท
รายได้ทุก ๆ 100 บาท ของ NSL มีต้นทุนขาย 79.5 บาท เหลือเป็นกำไรขั้นต้น = 20.5 บาท
โดยเหตุผล ที่ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มมากขึ้น ก็เพราะว่าในปีนี้ NSL มียอดขายที่เติบโตมากขึ้นจากปีก่อน
ทำให้ NSL สามารถสั่งซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ มาผลิตได้ทีละจำนวนมาก ๆ จนได้ราคาวัตถุดิบต่อการผลิตสินค้า 1 ชิ้นนั้น ลดลงไป
โดยตัวเลข กำไรขั้นต้น ของ NSL
- ปี 2566 กำไรขั้นต้น เท่ากับ 878 ล้านบาท
- ปี 2567 กำไรขั้นต้น เท่ากับ 1,197 ล้านบาท
ซึ่งถือว่ากำไรขั้นต้น เติบโต +36% เลยทีเดียว
- ปี 2566 กำไรขั้นต้น เท่ากับ 878 ล้านบาท
- ปี 2567 กำไรขั้นต้น เท่ากับ 1,197 ล้านบาท
ซึ่งถือว่ากำไรขั้นต้น เติบโต +36% เลยทีเดียว
3. มีสัดส่วนค่าใช้จ่าย ในการขายและบริหาร หรือ SG&A ที่ลดลง
ค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายและบริหาร คือ ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง กับการผลิตสินค้าโดยตรง
ค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายและบริหาร คือ ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง กับการผลิตสินค้าโดยตรง
ยกตัวอย่างเช่น
- ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด เช่น ค่าโฆษณาและโปรโมตสินค้า
- ค่าขนส่งสินค้า
- เงินเดือน ค่าแรง และสวัสดิการพนักงาน
- ค่าน้ำ ค่าไฟ
- ค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์
- ค่าเสื่อมราคาโรงงาน เครื่องจักรและอุปกรณ์
- ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด เช่น ค่าโฆษณาและโปรโมตสินค้า
- ค่าขนส่งสินค้า
- เงินเดือน ค่าแรง และสวัสดิการพนักงาน
- ค่าน้ำ ค่าไฟ
- ค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์
- ค่าเสื่อมราคาโรงงาน เครื่องจักรและอุปกรณ์
โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
- ปี 2566 เท่ากับ 462 ล้านบาท
- ปี 2567 เท่ากับ 552 ล้านบาท
- ปี 2566 เท่ากับ 462 ล้านบาท
- ปี 2567 เท่ากับ 552 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า แม้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้เพิ่มขึ้นมา แต่ถ้าเราลองมาเปรียบเทียบเป็นอัตราส่วนต่อรายได้แล้ว เราจะเห็นว่า
- ปี 2566
ทุก ๆ รายได้ของ NSL 100 บาท มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 9.6 บาท
ทุก ๆ รายได้ของ NSL 100 บาท มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 9.6 บาท
- ปี 2567
ทุก ๆ รายได้ของ NSL 100 บาท มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 9.4 บาท
ทุก ๆ รายได้ของ NSL 100 บาท มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 9.4 บาท
จะเห็นได้ว่าในปีนี้ NSL มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ที่ถูกลงจากปีก่อนเล็กน้อย
ซึ่งปัจจัยหลักก็มาจาก ต้นทุนคงที่บางอย่าง ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก อย่างเช่น
ค่าขนส่ง ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่ารักษาอุปกรณ์
ค่าขนส่ง ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่ารักษาอุปกรณ์
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ก็ถือเป็นต้นทุนคงที่ ที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงไปมากนัก
และเมื่อรายได้เติบโต ต้นทุนในส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
และเมื่อรายได้เติบโต ต้นทุนในส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นได้มาก จากการเพิ่มขึ้นของรายได้
ซึ่งเหตุการณ์นี้หมายความว่า NSL มี Operating Leverage ที่สูง
ซึ่งเหตุการณ์นี้หมายความว่า NSL มี Operating Leverage ที่สูง
ด้วย Operating Leverage ที่สูงขึ้น ทำให้ NSL มีกำไรจากการดำเนินงานที่เติบโตมากขึ้น
โดย กำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งก็คือ
รายได้ทั้งหมด - ต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
รายได้ทั้งหมด - ต้นทุนขาย และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
- ปี 2566 กำไรจากการดำเนินงาน = 437 ล้านบาท
- ปี 2567 กำไรจากการดำเนินงาน = 684 ล้านบาท
กำไรจากการดำเนินงาน เติบโต +57%
- ปี 2567 กำไรจากการดำเนินงาน = 684 ล้านบาท
กำไรจากการดำเนินงาน เติบโต +57%
นอกจากเหตุผลทั้ง 3 ข้อนี้แล้ว
NSL ก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อย่างค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ที่ลดน้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อนด้วย
NSL ก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อย่างค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ที่ลดน้อยลงเมื่อเทียบกับปีก่อนด้วย
ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงทำให้ NSL มีอัตรากำไรสุทธิมากขึ้น เมื่อเทียบกับปีก่อน
โดยในปี 2566 NSL มีอัตรากำไร 6.9%
ส่วนปี 2567 NSL มีอัตรากำไร 9.2%
ส่วนปี 2567 NSL มีอัตรากำไร 9.2%
และเมื่อเราลองเอา อัตรากำไร x รายได้ เพื่อคิดกลับเป็นกำไรสุทธิ เราก็จะเห็นว่า
- ปี 2566 อัตรากำไร 6.9% x รายได้ 4,809 ล้านบาท คิดเป็นกำไร = 332 ล้านบาท
- ปี 2567 อัตรากำไร 9.2% x รายได้ 5,866 ล้านบาท คิดเป็นกำไร = 539 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า NSL มีกำไรเติบโต +62% ในปีที่ผ่านมา เลยทีเดียว
Reference
- คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ปี 2567 บมจ.เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์
- คำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ปี 2567 บมจ.เอ็นเอสแอล ฟู้ดส์