รู้จัก กาแฟขี้ช้าง สัญชาติไทย ที่ขายกัน กิโลกรัมละ 80,000 บาท
14 ก.ค. 2022
รู้จัก กาแฟขี้ช้าง สัญชาติไทย ที่ขายกัน กิโลกรัมละ 80,000 บาท | BrandCase
ถ้าพูดถึงกาแฟที่มีราคาแพงอันดับท็อป ๆ ของโลก หลายคนอาจจะพูดชื่อ กาแฟขี้ชะมด ที่โด่งดังจากประเทศอินโดนีเซีย
แต่วันนี้มีกาแฟจากมูลสัตว์ที่โด่งดังไม่แพ้กัน คือ “กาแฟขี้ช้าง” จากประเทศไทย ซึ่งรู้หรือไม่ว่า ราคาต่อกิโลกรัมของกาแฟขี้ช้าง แพงกว่ากาแฟขี้ชะมดที่หลายคนเคยได้ยินเสียอีก
กาแฟขี้ช้าง สัญชาติไทยที่ว่านี้ ในปริมาณ 1 กิโลกรัม ขายกันที่ราคาประมาณ 80,000 บาท
และถ้าหากอยากดื่มเป็นแก้ว ก็ต้องจ่ายในราคาแก้วละ 1,200-1,500 บาท กันเลยทีเดียว
แล้วทำไม กาแฟขี้ช้าง ถึงมีราคาที่สูงเฉียดหลักแสนบาทขนาดนี้ ?
BrandCase จะเล่าให้ฟัง..
ย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2545 หรือประมาณ 20 ปีก่อน
จุดกำเนิดของกาแฟขี้ช้างที่แพงที่สุดในโลก เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยคุณเบลก ดินคิน ชาวแคนาดา ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย
เริ่มจากการศึกษาเป็นเวลานับ 10 ปี โดยให้ช้างไทยในมูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำ ของโรงแรมอนันตรา ในจังหวัดเชียงราย กินผลเชอร์รีกาแฟ
จากนั้นก็รอให้ช้างขับถ่ายมันออกมา จนสามารถนำออกมาขายเป็นสินค้าได้
และตั้งชื่อแบรนด์ว่า “Black Ivory Coffee”
เรียกได้ว่า “กาแฟขี้ช้าง” ที่ราคาสูงนี้มีจุดกำเนิดเกิดขึ้นในประเทศไทย
และแบรนด์ Black Ivory Coffee เองก็ได้กลายเป็นแบรนด์กาแฟขี้ช้างจากประเทศไทย ที่โด่งดังในระดับโลก
แล้วกว่าจะมาเป็น กาแฟขี้ช้าง มันมีกรรมวิธีอย่างไร ?
เริ่มต้นจากการคัดเลือกผลเชอร์รีกาแฟไทย สายพันธุ์อะราบิกา จากพื้นที่ปลูกที่ระดับความสูง 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ส่งต่อไปยังฟาร์มช้าง
แต่ละครอบครัวที่เลี้ยงช้างจะผสมเชอร์รีกาแฟกับอาหารของช้าง เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารที่ช้างกินเข้าไปจะยังมีประโยชน์ทางโภชนาการ
เช่น รำข้าว กากน้ำตาล กล้วย และมะขาม จะถูกหมักทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วค่อยนำไปให้ช้างกิน
เมื่อช้างกินอาหารที่ผสมผลเชอร์รีกาแฟเข้าไป ก็จะเกิดกระบวนการย่อยอาหาร โดยเอนไซม์ในกระเพาะอาหารของช้าง จะทำการย่อยโปรตีนของผลเชอร์รีกาแฟที่มีคุณสมบัติให้รสขม
เมื่อขนาดโปรตีนเล็กลง จึงทำให้รสขมของกาแฟลดลงตาม ทำให้ได้รสชาติกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ออกมา
ซึ่งโดยปกติแล้ว กระบวนการนี้จะใช้เวลาประมาณ 12-72 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณอาหารในกระเพาะอาหารของช้าง
และเมื่อถึงเวลา ผลเชอร์รีกาแฟที่ช้างกินเข้าไป ก็จะถูกขับถ่ายออกมาพร้อมกับ “มูลช้าง” นั่นเอง
หลังจากนั้นควาญช้างก็จะนำเอาก้อนมูลช้างเหล่านี้ไปตากให้แห้งก่อน จากนั้นก็ทำการคัดแยกเมล็ดกาแฟที่สมบูรณ์แบบเต็มเมล็ดออกมา และนำไปทำความสะอาดด้วยน้ำต่อ
เมื่อล้างทำความสะอาดเสร็จแล้ว ก็จะถึงกระบวนการตากเมล็ดกาแฟให้แห้ง และนำไปบรรจุห่อต่อไป
เพียงเท่านี้เราก็จะได้กาแฟขี้ช้างที่สามารถนำไป คั่ว บด พร้อมเสิร์ฟเป็นกาแฟถ้วยออกมาให้ได้ดื่ม
แล้วราคาของกาแฟขี้ช้างนี้ ขายกันที่ราคาเท่าไร ?
อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ PassionBuz โดยบอกไว้ว่า
กาแฟที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ปี 2022 ก็คือ “Black Ivory Coffee” หรือกาแฟขี้ช้างจากประเทศไทย
โดยราคาประมาณ กิโลกรัมละ 80,000 บาท และมักจะวางขายในโรงแรมระดับ 5 ดาว
เทียบกับกาแฟขี้ชะมด ที่โด่งดังจากประเทศอินโดนีเซีย จะมีราคาประมาณกิโลกรัมละ 13,000 บาท
โดยทั่วไปแล้ว การจะได้กาแฟขี้ช้าง 1 กิโลกรัม จะต้องใช้ผลเชอร์รีกาแฟ ประมาณ 33 กิโลกรัม
บางเมล็ดที่โดนช้างเคี้ยวไป ก็จะถูกคัดออก
ซึ่งในแต่ละปีจะได้ผลผลิตประมาณ 200 กิโลกรัมเท่านั้น
แต่ไม่ใช่ช้างทุกตัวที่จะสามารถผลิตกาแฟขี้ช้างได้..
ช้างตัวไหนที่ชอบเคี้ยวอาหารก่อนกลืน ควาญช้างก็จะไม่นำผลเชอร์รีกาแฟผสมลงไปในอาหารให้กิน เพราะอาจทำให้ช้างได้รับสารกาเฟอีนมากเกินไปจนเกิดอันตราย
ดังนั้นควาญช้างจึงมักนิยมผสมผลเชอร์รีกาแฟลงในอาหารให้ช้างที่ชอบกินอาหารแบบกลืนลงไปทีเดียว มากกว่า
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า ธุรกิจนี้จะเป็นการทารุณช้างหรือไม่ ?
ต้องเล่าก่อนว่า ในทุก ๆ ครั้งที่ได้ผลผลิตออกมา ไม่ได้เป็นการบังคับให้ช้างกินอาหารที่ผสมผลเชอร์รีกาแฟ จนส่งผลกระทบกับพฤติกรรมการกินของช้าง
แต่เป็นการรอให้ช้างกินผลเชอร์รีกาแฟด้วยตัวของช้างเอง และควาญช้างจะเป็นคนคอยสังเกตดูว่าช้างกินอะไรเข้าไป และจะขับถ่ายออกมาตอนไหน
เนื่องจากความชอบของพวกมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากคน ช้างแต่ละตัวก็จะมีสูตรอาหารที่ตัวเองชอบอยู่แล้ว
ซึ่งเมล็ดกาแฟที่ได้ จึงไม่ได้เป็นการบังคับให้ช้างกินผลเชอร์รีกาแฟแต่อย่างใด
และนอกจากจะมีกระบวนการคัดเลือกแค่ช้างที่กินอาหารแบบกลืนแล้ว
ก็ยังมีการตรวจเลือดและตรวจสุขภาพของช้างทุก ๆ 3 เดือนอีกด้วย เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อสุขภาพของช้าง
นอกจากนี้ กาแฟขี้ช้าง ยังถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นมาเพื่อส่งเสริมโครงการอนุรักษ์ช้างไทย
เนื่องจากรายได้จากการขายสินค้าบางส่วน จะถูกส่งคืนกลับเข้าสู่มูลนิธิช้างและชุมชนของคนที่เลี้ยงช้างอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัวที่ดูแลช้าง ไปจนถึงนักเรียนในโรงเรียนท้องถิ่น
สรุปแล้วสิ่งที่ทำให้กาแฟขี้ช้างมีราคาสูง
ก็เนื่องมาจากกรรมวิธีการผลิตกาแฟที่มีความซับซ้อน พิถีพิถัน
บวกกับการบ่มในตัวช้าง จนได้กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และผลผลิตที่เก็บได้น้อย ก็ยิ่งทำให้มันเป็นกาแฟที่หายาก
ทั้งหมดนี้ ก็ทำให้กาแฟขี้ช้าง กลายเป็นกาแฟจากมูลสัตว์ที่มีราคาสูงเฉียดหลักแสนบาทได้ นั่นเอง..
ปิดท้ายด้วยคำถามที่หลายคนน่าจะสงสัย ว่ารสชาติของกาแฟขี้ช้าง เป็นอย่างไร ?
จากความคิดเห็นของผู้ที่เคยดื่มกาแฟขี้ช้างมาแล้ว ต่างบอกว่ารสชาติของกาแฟขี้ช้างจะมีความนุ่มนวล ให้กลิ่นคล้ายกับช็อกโกแลต มอลต์ เครื่องเทศ และกลิ่นหญ้า อีกทั้งยังไม่ค่อยมีรสชาติขมเหมือนกาแฟทั่วไป..
References
-https://blackivorycoffee.com/
-https://passionbuz.com/expensive-coffees/
-https://financesonline.com/top-10-most-expensive-coffee-in-the-world-luwak-coffee-is-not-the-no-1/
-https://www.halalscience-pn.org/
-https://youtu.be/NLH2iNpD_n0
-https://youtu.be/CZxySifjh8A
ถ้าพูดถึงกาแฟที่มีราคาแพงอันดับท็อป ๆ ของโลก หลายคนอาจจะพูดชื่อ กาแฟขี้ชะมด ที่โด่งดังจากประเทศอินโดนีเซีย
แต่วันนี้มีกาแฟจากมูลสัตว์ที่โด่งดังไม่แพ้กัน คือ “กาแฟขี้ช้าง” จากประเทศไทย ซึ่งรู้หรือไม่ว่า ราคาต่อกิโลกรัมของกาแฟขี้ช้าง แพงกว่ากาแฟขี้ชะมดที่หลายคนเคยได้ยินเสียอีก
กาแฟขี้ช้าง สัญชาติไทยที่ว่านี้ ในปริมาณ 1 กิโลกรัม ขายกันที่ราคาประมาณ 80,000 บาท
และถ้าหากอยากดื่มเป็นแก้ว ก็ต้องจ่ายในราคาแก้วละ 1,200-1,500 บาท กันเลยทีเดียว
แล้วทำไม กาแฟขี้ช้าง ถึงมีราคาที่สูงเฉียดหลักแสนบาทขนาดนี้ ?
BrandCase จะเล่าให้ฟัง..
ย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2545 หรือประมาณ 20 ปีก่อน
จุดกำเนิดของกาแฟขี้ช้างที่แพงที่สุดในโลก เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยคุณเบลก ดินคิน ชาวแคนาดา ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย
เริ่มจากการศึกษาเป็นเวลานับ 10 ปี โดยให้ช้างไทยในมูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำ ของโรงแรมอนันตรา ในจังหวัดเชียงราย กินผลเชอร์รีกาแฟ
จากนั้นก็รอให้ช้างขับถ่ายมันออกมา จนสามารถนำออกมาขายเป็นสินค้าได้
และตั้งชื่อแบรนด์ว่า “Black Ivory Coffee”
เรียกได้ว่า “กาแฟขี้ช้าง” ที่ราคาสูงนี้มีจุดกำเนิดเกิดขึ้นในประเทศไทย
และแบรนด์ Black Ivory Coffee เองก็ได้กลายเป็นแบรนด์กาแฟขี้ช้างจากประเทศไทย ที่โด่งดังในระดับโลก
แล้วกว่าจะมาเป็น กาแฟขี้ช้าง มันมีกรรมวิธีอย่างไร ?
เริ่มต้นจากการคัดเลือกผลเชอร์รีกาแฟไทย สายพันธุ์อะราบิกา จากพื้นที่ปลูกที่ระดับความสูง 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ส่งต่อไปยังฟาร์มช้าง
แต่ละครอบครัวที่เลี้ยงช้างจะผสมเชอร์รีกาแฟกับอาหารของช้าง เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารที่ช้างกินเข้าไปจะยังมีประโยชน์ทางโภชนาการ
เช่น รำข้าว กากน้ำตาล กล้วย และมะขาม จะถูกหมักทิ้งไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วค่อยนำไปให้ช้างกิน
เมื่อช้างกินอาหารที่ผสมผลเชอร์รีกาแฟเข้าไป ก็จะเกิดกระบวนการย่อยอาหาร โดยเอนไซม์ในกระเพาะอาหารของช้าง จะทำการย่อยโปรตีนของผลเชอร์รีกาแฟที่มีคุณสมบัติให้รสขม
เมื่อขนาดโปรตีนเล็กลง จึงทำให้รสขมของกาแฟลดลงตาม ทำให้ได้รสชาติกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ออกมา
ซึ่งโดยปกติแล้ว กระบวนการนี้จะใช้เวลาประมาณ 12-72 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณอาหารในกระเพาะอาหารของช้าง
และเมื่อถึงเวลา ผลเชอร์รีกาแฟที่ช้างกินเข้าไป ก็จะถูกขับถ่ายออกมาพร้อมกับ “มูลช้าง” นั่นเอง
หลังจากนั้นควาญช้างก็จะนำเอาก้อนมูลช้างเหล่านี้ไปตากให้แห้งก่อน จากนั้นก็ทำการคัดแยกเมล็ดกาแฟที่สมบูรณ์แบบเต็มเมล็ดออกมา และนำไปทำความสะอาดด้วยน้ำต่อ
เมื่อล้างทำความสะอาดเสร็จแล้ว ก็จะถึงกระบวนการตากเมล็ดกาแฟให้แห้ง และนำไปบรรจุห่อต่อไป
เพียงเท่านี้เราก็จะได้กาแฟขี้ช้างที่สามารถนำไป คั่ว บด พร้อมเสิร์ฟเป็นกาแฟถ้วยออกมาให้ได้ดื่ม
แล้วราคาของกาแฟขี้ช้างนี้ ขายกันที่ราคาเท่าไร ?
อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ PassionBuz โดยบอกไว้ว่า
กาแฟที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ปี 2022 ก็คือ “Black Ivory Coffee” หรือกาแฟขี้ช้างจากประเทศไทย
โดยราคาประมาณ กิโลกรัมละ 80,000 บาท และมักจะวางขายในโรงแรมระดับ 5 ดาว
เทียบกับกาแฟขี้ชะมด ที่โด่งดังจากประเทศอินโดนีเซีย จะมีราคาประมาณกิโลกรัมละ 13,000 บาท
โดยทั่วไปแล้ว การจะได้กาแฟขี้ช้าง 1 กิโลกรัม จะต้องใช้ผลเชอร์รีกาแฟ ประมาณ 33 กิโลกรัม
บางเมล็ดที่โดนช้างเคี้ยวไป ก็จะถูกคัดออก
ซึ่งในแต่ละปีจะได้ผลผลิตประมาณ 200 กิโลกรัมเท่านั้น
แต่ไม่ใช่ช้างทุกตัวที่จะสามารถผลิตกาแฟขี้ช้างได้..
ช้างตัวไหนที่ชอบเคี้ยวอาหารก่อนกลืน ควาญช้างก็จะไม่นำผลเชอร์รีกาแฟผสมลงไปในอาหารให้กิน เพราะอาจทำให้ช้างได้รับสารกาเฟอีนมากเกินไปจนเกิดอันตราย
ดังนั้นควาญช้างจึงมักนิยมผสมผลเชอร์รีกาแฟลงในอาหารให้ช้างที่ชอบกินอาหารแบบกลืนลงไปทีเดียว มากกว่า
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า ธุรกิจนี้จะเป็นการทารุณช้างหรือไม่ ?
ต้องเล่าก่อนว่า ในทุก ๆ ครั้งที่ได้ผลผลิตออกมา ไม่ได้เป็นการบังคับให้ช้างกินอาหารที่ผสมผลเชอร์รีกาแฟ จนส่งผลกระทบกับพฤติกรรมการกินของช้าง
แต่เป็นการรอให้ช้างกินผลเชอร์รีกาแฟด้วยตัวของช้างเอง และควาญช้างจะเป็นคนคอยสังเกตดูว่าช้างกินอะไรเข้าไป และจะขับถ่ายออกมาตอนไหน
เนื่องจากความชอบของพวกมันก็ไม่ต่างอะไรไปจากคน ช้างแต่ละตัวก็จะมีสูตรอาหารที่ตัวเองชอบอยู่แล้ว
ซึ่งเมล็ดกาแฟที่ได้ จึงไม่ได้เป็นการบังคับให้ช้างกินผลเชอร์รีกาแฟแต่อย่างใด
และนอกจากจะมีกระบวนการคัดเลือกแค่ช้างที่กินอาหารแบบกลืนแล้ว
ก็ยังมีการตรวจเลือดและตรวจสุขภาพของช้างทุก ๆ 3 เดือนอีกด้วย เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อสุขภาพของช้าง
นอกจากนี้ กาแฟขี้ช้าง ยังถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นมาเพื่อส่งเสริมโครงการอนุรักษ์ช้างไทย
เนื่องจากรายได้จากการขายสินค้าบางส่วน จะถูกส่งคืนกลับเข้าสู่มูลนิธิช้างและชุมชนของคนที่เลี้ยงช้างอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัวที่ดูแลช้าง ไปจนถึงนักเรียนในโรงเรียนท้องถิ่น
สรุปแล้วสิ่งที่ทำให้กาแฟขี้ช้างมีราคาสูง
ก็เนื่องมาจากกรรมวิธีการผลิตกาแฟที่มีความซับซ้อน พิถีพิถัน
บวกกับการบ่มในตัวช้าง จนได้กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และผลผลิตที่เก็บได้น้อย ก็ยิ่งทำให้มันเป็นกาแฟที่หายาก
ทั้งหมดนี้ ก็ทำให้กาแฟขี้ช้าง กลายเป็นกาแฟจากมูลสัตว์ที่มีราคาสูงเฉียดหลักแสนบาทได้ นั่นเอง..
ปิดท้ายด้วยคำถามที่หลายคนน่าจะสงสัย ว่ารสชาติของกาแฟขี้ช้าง เป็นอย่างไร ?
จากความคิดเห็นของผู้ที่เคยดื่มกาแฟขี้ช้างมาแล้ว ต่างบอกว่ารสชาติของกาแฟขี้ช้างจะมีความนุ่มนวล ให้กลิ่นคล้ายกับช็อกโกแลต มอลต์ เครื่องเทศ และกลิ่นหญ้า อีกทั้งยังไม่ค่อยมีรสชาติขมเหมือนกาแฟทั่วไป..
References
-https://blackivorycoffee.com/
-https://passionbuz.com/expensive-coffees/
-https://financesonline.com/top-10-most-expensive-coffee-in-the-world-luwak-coffee-is-not-the-no-1/
-https://www.halalscience-pn.org/
-https://youtu.be/NLH2iNpD_n0
-https://youtu.be/CZxySifjh8A