เราลงแรง แต่เพื่อนลงเงิน โครงสร้างบริษัท ควรเป็นอย่างไร ?
29 ธ.ค. 2021
เราลงแรง แต่เพื่อนลงเงิน โครงสร้างบริษัท ควรเป็นอย่างไร ? | THE BRIEFCASE
เกือบทุกบริษัทที่มีเพื่อนก่อตั้งร่วมกัน มักมีปัญหานี้
คือบางคนมีเงิน แต่ไม่มีเวลาทำงาน หรือทำงานไม่เป็น
แต่คนที่ทำงาน กลับไม่มีเงินทุนมากพอ
เมื่อร่วมกันก่อตั้งบริษัท ตอนแรกดูเหมือนว่าจะแบ่งผลประโยชน์อย่างไรก็ได้ ทำ ๆ ไปก่อน
แต่รู้หรือไม่ว่า เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น
การไม่วางโครงสร้างบริษัทให้ดีตั้งแต่แรก จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา
บางกรณี อาจถึงกับทะเลาะกัน และเลิกคบกันไปเลยก็มี
แล้วการที่เราลงแรง แต่เพื่อนลงเงิน มันควรวางโครงสร้างบริษัทอย่างไร
THE BRIEFCASE จะมาให้คำตอบ
เรามาเริ่มจากการทำความเข้าใจโครงสร้างบริษัทก่อน
บริษัทที่ดีควรจะแบ่งโครงสร้างของ ผู้ถือหุ้น และคนทำงานให้ชัด
โดยไม่เอาคำว่าผู้ถือหุ้น และพนักงาน มาปนกัน
ดังนั้นเราควรจะตกลงกันตั้งแต่แรกไปเลยว่า แต่ละคนจะถือหุ้นกันกี่เปอร์เซ็นต์
ส่วนใหญ่แล้ว การถือหุ้นมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินทุนที่ใส่เข้าไปในบริษัท
โดยจะแบ่งการถือหุ้นเป็นสัดส่วนตามเงินทุนของแต่ละคน
เช่น เปิดบริษัทด้วยเงินทุนจดทะเบียน 1 แสนบาท
นาย A ใส่เงิน 7 หมื่นบาท นาย B ใส่เงิน 3 หมื่นบาท
นาย A ก็จะถือหุ้น 70%
นาย B ก็จะถือหุ้น 30%
ข้อที่ควรระวังก็คือ การถือหุ้น จะไม่ได้มีสิทธิ์ใช้จ่ายเงินของบริษัท จนกว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลออกมาให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าการเป็นผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินเดือนจากบริษัทด้วย
ดังนั้นถ้านาย A ใส่เงินไปในบริษัท 7 หมื่นบาท แต่ไม่ได้ทำงาน และไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัท ก็จะหมายความว่า นาย A ไม่สามารถรับค่าตอบแทนจากบริษัทได้
การที่นาย A จะได้รับผลตอบแทนก็คือ ต้องรอให้บริษัทมีกำไรสะสมตามเกณฑ์ และจ่ายเงินปันผลออกมาให้แก่นาย A
ตัวอย่างต่อไป
ถ้านาย B เป็นคนทำงาน และถือว่าเป็นพนักงานของบริษัท
บริษัทก็ควรมีโครงสร้างที่จ่ายเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนให้กับนาย B ให้เหมาะสม
“คำว่าเหมาะสม” หมายถึง เป็นค่าตอบแทนตามราคาตลาด ไม่ใช่เป็นค่าตอบแทนที่ต่ำกว่าตลาด
ถ้าทำได้เช่นนี้ นาย B ก็จะทำงานไปด้วยความเต็มใจ เพราะว่าระหว่างทำงานจะได้เงินเดือนที่เป็นค่าแรงไปด้วย ไม่มานั่งผิดหวังตอนหลังว่าลงแรงไปแล้วไม่ได้อะไรกลับมา
และเมื่อกิจการมีผลประกอบการที่ดีมีกำไร (หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมถึงเงินเดือนของนาย B)
ก็สามารถปันผลเป็นเงินออกมาแบ่งให้ นาย A 70% และนาย B 30% ตามสัดส่วนการถือหุ้นได้
ทีนี้คำถามต่อไปก็คือ ถ้านาย B ไม่มีเงินทุนเลย มีแต่แรงทำงาน จะทำอย่างไรถ้านาย B อยากถือหุ้นในบริษัทด้วย
เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่าง นาย A กับ นาย B
เช่น เริ่มแรก นาย A อาจถือหุ้น 100% นาย B ถือหุ้น 0% โดยมีเงื่อนไขว่านาย A จะทำสัญญายินยอมโอนหุ้นให้แก่นาย B เมื่อนาย B ทำงานครบตามเวลาที่กำหนด หรือสามารถทำผลประกอบการได้เป็นไปตามเป้าหมาย
แต่ถึงแม้จะมีสัญญาโอนหุ้นในอนาคต แต่นาย B ก็ควรได้เงินเดือนที่เหมาะสมเป็นค่าตอบแทนการทำงานด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อมีปัญหาในภายหลัง แล้วนาย B ต้องออกจากบริษัทไป
อย่างน้อย นาย B ก็จะไม่เสียใจว่าทำงานฟรี เพราะได้ค่าตอบแทนจากค่าแรงไปเรียบร้อยแล้ว
สรุปแล้วการวางโครงสร้างบริษัทให้ชัด
ให้ผลตอบแทนแก่คนลงแรง
จัดสรรการถือหุ้นของบริษัทให้ลงตัว
ทั้งหมดนี้ก็จะสามารถเคลียร์ปัญหาสำหรับเพื่อนที่ร่วมกันก่อตั้งธุรกิจที่บางคนลงแรง แต่บางคนลงแต่เงินทุนได้ นั่นเอง..
เกือบทุกบริษัทที่มีเพื่อนก่อตั้งร่วมกัน มักมีปัญหานี้
คือบางคนมีเงิน แต่ไม่มีเวลาทำงาน หรือทำงานไม่เป็น
แต่คนที่ทำงาน กลับไม่มีเงินทุนมากพอ
เมื่อร่วมกันก่อตั้งบริษัท ตอนแรกดูเหมือนว่าจะแบ่งผลประโยชน์อย่างไรก็ได้ ทำ ๆ ไปก่อน
แต่รู้หรือไม่ว่า เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น
การไม่วางโครงสร้างบริษัทให้ดีตั้งแต่แรก จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา
บางกรณี อาจถึงกับทะเลาะกัน และเลิกคบกันไปเลยก็มี
แล้วการที่เราลงแรง แต่เพื่อนลงเงิน มันควรวางโครงสร้างบริษัทอย่างไร
THE BRIEFCASE จะมาให้คำตอบ
เรามาเริ่มจากการทำความเข้าใจโครงสร้างบริษัทก่อน
บริษัทที่ดีควรจะแบ่งโครงสร้างของ ผู้ถือหุ้น และคนทำงานให้ชัด
โดยไม่เอาคำว่าผู้ถือหุ้น และพนักงาน มาปนกัน
ดังนั้นเราควรจะตกลงกันตั้งแต่แรกไปเลยว่า แต่ละคนจะถือหุ้นกันกี่เปอร์เซ็นต์
ส่วนใหญ่แล้ว การถือหุ้นมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินทุนที่ใส่เข้าไปในบริษัท
โดยจะแบ่งการถือหุ้นเป็นสัดส่วนตามเงินทุนของแต่ละคน
เช่น เปิดบริษัทด้วยเงินทุนจดทะเบียน 1 แสนบาท
นาย A ใส่เงิน 7 หมื่นบาท นาย B ใส่เงิน 3 หมื่นบาท
นาย A ก็จะถือหุ้น 70%
นาย B ก็จะถือหุ้น 30%
ข้อที่ควรระวังก็คือ การถือหุ้น จะไม่ได้มีสิทธิ์ใช้จ่ายเงินของบริษัท จนกว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลออกมาให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งหลายคนเข้าใจผิดว่าการเป็นผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินเดือนจากบริษัทด้วย
ดังนั้นถ้านาย A ใส่เงินไปในบริษัท 7 หมื่นบาท แต่ไม่ได้ทำงาน และไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัท ก็จะหมายความว่า นาย A ไม่สามารถรับค่าตอบแทนจากบริษัทได้
การที่นาย A จะได้รับผลตอบแทนก็คือ ต้องรอให้บริษัทมีกำไรสะสมตามเกณฑ์ และจ่ายเงินปันผลออกมาให้แก่นาย A
ตัวอย่างต่อไป
ถ้านาย B เป็นคนทำงาน และถือว่าเป็นพนักงานของบริษัท
บริษัทก็ควรมีโครงสร้างที่จ่ายเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนให้กับนาย B ให้เหมาะสม
“คำว่าเหมาะสม” หมายถึง เป็นค่าตอบแทนตามราคาตลาด ไม่ใช่เป็นค่าตอบแทนที่ต่ำกว่าตลาด
ถ้าทำได้เช่นนี้ นาย B ก็จะทำงานไปด้วยความเต็มใจ เพราะว่าระหว่างทำงานจะได้เงินเดือนที่เป็นค่าแรงไปด้วย ไม่มานั่งผิดหวังตอนหลังว่าลงแรงไปแล้วไม่ได้อะไรกลับมา
และเมื่อกิจการมีผลประกอบการที่ดีมีกำไร (หลังจากหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมถึงเงินเดือนของนาย B)
ก็สามารถปันผลเป็นเงินออกมาแบ่งให้ นาย A 70% และนาย B 30% ตามสัดส่วนการถือหุ้นได้
ทีนี้คำถามต่อไปก็คือ ถ้านาย B ไม่มีเงินทุนเลย มีแต่แรงทำงาน จะทำอย่างไรถ้านาย B อยากถือหุ้นในบริษัทด้วย
เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่าง นาย A กับ นาย B
เช่น เริ่มแรก นาย A อาจถือหุ้น 100% นาย B ถือหุ้น 0% โดยมีเงื่อนไขว่านาย A จะทำสัญญายินยอมโอนหุ้นให้แก่นาย B เมื่อนาย B ทำงานครบตามเวลาที่กำหนด หรือสามารถทำผลประกอบการได้เป็นไปตามเป้าหมาย
แต่ถึงแม้จะมีสัญญาโอนหุ้นในอนาคต แต่นาย B ก็ควรได้เงินเดือนที่เหมาะสมเป็นค่าตอบแทนการทำงานด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อมีปัญหาในภายหลัง แล้วนาย B ต้องออกจากบริษัทไป
อย่างน้อย นาย B ก็จะไม่เสียใจว่าทำงานฟรี เพราะได้ค่าตอบแทนจากค่าแรงไปเรียบร้อยแล้ว
สรุปแล้วการวางโครงสร้างบริษัทให้ชัด
ให้ผลตอบแทนแก่คนลงแรง
จัดสรรการถือหุ้นของบริษัทให้ลงตัว
ทั้งหมดนี้ก็จะสามารถเคลียร์ปัญหาสำหรับเพื่อนที่ร่วมกันก่อตั้งธุรกิจที่บางคนลงแรง แต่บางคนลงแต่เงินทุนได้ นั่นเอง..