สรุปเทรนด์ธุรกิจครึ่งปีนี้ ที่นักการตลาด เจ้าของธุรกิจ ต้องโฟกัส ข้อมูลจากสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

สรุปเทรนด์ธุรกิจครึ่งปีนี้ ที่นักการตลาด เจ้าของธุรกิจ ต้องโฟกัส ข้อมูลจากสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย

2 ก.ค. 2024
-วันนี้สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย มีการอัปเดตเทรนด์ธุรกิจมาแรงครึ่งปีหลัง 2567 โดย ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT)
มีเรื่องไหนที่นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจต้องรู้ และหยิบเอาไปใช้ได้บ้าง ?
BrandCase สรุปให้ เป็นข้อ ๆ
ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) ได้แชร์เรื่องสำคัญที่นักการตลาดและนักธุรกิจไทยควรโฟกัสไว้หลัก ๆ 5 เรื่อง คือ 
1. ความท้าทายของนักการตลาดทั้งปี 2567 ไปจนถึงปี 2568 
ข้อนี้แยกเป็น 2 เรื่องสำคัญคือ
-การเปลี่ยนแปลงระดับมหภาค คือการเปลี่ยนผ่านตาม Megatrend ของธุรกิจและเทคโนโลยีในระยะยาว ซึ่งจะต้องเปลี่ยนแปลงในเร็ว ๆ นี้ และเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องไปถึง 5-10 ปีข้างหน้า
-ในขณะเดียวกันก็จะเจอกับการเปลี่ยนแปลงระดับจุลภาค คือการเอาตัวรอดจากวิกฤติเศรษฐกิจและ Geopolitical หรือ ผลกระทบทางภูมิศาสตร์ในระยะสั้น
2. ซึ่งการเปลี่ยนผ่านตาม Megatrend แบ่งเป็นอีก 2 ด้าน คือ
- ด้านธุรกิจ
จากเดิมธุรกิจในยุคเก่าจะเป็นธุรกิจที่เน้นภาคการผลิตเป็น Product มากกว่า 
เช่น การผลิตพลังไฟฟ้า พลังงานน้ำ, การผลิตพลังงานไอน้ำ, โรงงานผลิตสิ่งทอ หรือโรงงานผลิตเหล็กและเหล็กกล้า ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในฐานการผลิตแบบ Mass Production 
และถ้าสังเกตจะเห็นว่าในยุคปัจจุบันธุรกิจส่วนใหญ่ที่อยู่ในตลาดได้กลายเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ การบิน และ new media แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน แทนธุรกิจในยุคสมัยเดิม 
พูดอีกแบบคือ ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงจากภาคการผลิต เป็นภาคบริการมากขึ้น 
อีกทั้งธุรกิจภาคบริการเหล่านี้ยังได้เข้ามามีบทบาทสำคัญและส่งผลต่อธุรกิจอื่นมากขึ้นในทุก ๆ วัน
และในอนาคต สมาคมการตลาดมองว่า ธุรกิจทั้งภาคการผลิตและการบริการจะอยู่ได้จำเป็นต้องเน้นไปที่เรื่องของ AI ปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ 
รวมถึงเทคโนโลยีสะอาดและไบโอเทคโนโลยีมากขึ้น เช่น การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ด้านการตลาด 
ในส่วนของช่องทางการตลาดเองก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเช่นกัน จากเดิมที่เป็นตลาดที่เน้นปฏิสัมพันธ์แบบพบหน้าหรือแบบ Physical ที่ลูกค้าต้องเดินไปซื้อของที่หน้าร้านเอง
ในปัจจุบันช่องทางนี้ก็ค่อย ๆ ลดลงมาและเปลี่ยนเป็นช่องทางการตลาดดิจิทัล หรือตลาดออนไลน์มากขึ้น 
ซึ่งปัจจุบันช่องทางการตลาดแบบ Physical และ Digital มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 50:50 
และสมาคมการตลาดคาดว่าในอนาคตช่องทางการตลาดทั้งสองจะรวมกันกลายเป็นตลาดแบบหลอมรวม หรือ Immersive มากขึ้น 
คือลูกค้าสามารถใช้เครื่องมือดิจิทัลเข้ามาเสริมการช็อปปิงที่หน้าร้านไปพร้อม ๆ กันได้ 
เช่น ลูกค้าเปิดแอปพลิเคชันสแกนข้อมูลหรือรีวิวสินค้าภายในหน้าร้านของแบรนด์ เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้า
สรุปคือ การตลาดจะเปลี่ยนจากการเน้นผลิต Mass ไปสู่ธุรกิจ Service Digital มากขึ้น และในอนาคตธุรกิจที่จะคงอยู่ต่อไปได้คือ ธุรกิจที่ขาย Solution หรือวิธีการแก้ปัญหาให้ลูกค้า
3. การเอาตัวรอดจากวิกฤติระยะสั้น
จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น คำถามคือ แล้วนักธุรกิจ หรือผู้ประกอบการตัวเล็ก ๆ จะต้องปรับตัวอย่างไร ?
โดยสมาคมการตลาดได้แนะนำจุดที่นักการตลาดและนักธุรกิจไทยควรโฟกัส ในครึ่งปีหลัง 2567 ไว้ 3 จุด หลัก ๆ คือ
- AI จะกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ในชีวิตประวัน 
และหากผู้บริโภคใช้ AI แต่นักการตลาดไม่ใช้ AI ถือเป็นเรื่องผิดพลาด นอกจากนี้สมาคมการตลาดยังแนะนำให้นักการตลาดหันมาใช้ AI ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยี เพื่อสร้างโอกาสและการเข้าถึงข้อมูลอย่างเท่าเทียม ทั้งสำหรับ SME ตัวเล็ก และคนทั่วไปมากขึ้น
พร้อมกับสนับสนุนให้ SMEs ไทยมี Own Channel Own Content หรือก็คือ มีช่องทางการสร้างคอนเทนต์เป็นของตัวเอง
และใช้เครื่องมือทางการตลาด เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันให้กับ SMEs ไทยและช่วยให้การสื่อสารตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
- แค่พูดรักษ์โลกเฉย ๆ ไม่ได้ ต้องทำได้จริงด้วย
จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น เป็นเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจต้องหันมาทำสินค้าหรือเบนเข็มธุรกิจมาด้าน Green มากขึ้น 
แต่การทำธุรกิจหรือการตลาดที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมจำเป็นต้องทำให้เป็นของจริง ไม่ใช่การทำการตลาดรักษ์โลกแบบฉาบฉวย แต่ต้องผลักดันแนวคิด Sustainability และ Responsible Marketing อย่างจริงจังด้วย
พูดให้ง่าย ๆ ก็คือ ต่อไปนี้ธุรกิจจะพูดแค่รักษ์โลกอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องบอกได้ด้วยว่ารักษ์โลกแบบไหนและทำอย่างไร
- อย่ามองข้ามตลาดเอเชีย
ถึงแม้ว่าผู้บริโภคในไทยจะเจอปัญหาเรื่องหนี้สินที่เพิ่มขึ้นและกำลังซื้อครัวเรือนที่ลดลง แต่สมาคมการตลาดแนะนำว่านักธุรกิจและนักการตลาดไทยไม่ควรมองข้ามตลาดเอเชีย และต้องพยายามเข้าใจและเจาะตลาดเอเชียให้ได้
เนื่องจากตลาดเอเชียถือเป็นตลาดที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกเยอะ และกำลังจะกลายเป็น Hub ของอีกหลาย ๆ อุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นสนามธุรกิจที่ไม่ควรมองข้าม 
4. สรุป 3 Key Takeaways ที่นักการตลาดต้องทำ
- สิ่งที่นักการตลาดต้องทำคือการเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาดโดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ และสร้างความร่วมมือ เกื้อกูล และปรับตัวไปด้วยกัน
- การตลาดในสมัยหน้า กลุ่มประเทศในเอเชีย จะเป็นผู้นำ ดังนั้นนักการตลาดไทยต้องเกาะติดสถานการณ์และจับตามองกลุ่มประเทศในเอเชียเหล่านี้ให้ดี
- Change - Innovation -Transform ธุรกิจจำเป็นต้องเปลี่ยน ต้องมีนวัตกรรม และต้องเปลี่ยนผ่าน
5. กลยุทธ์ A-B-C-D-E ที่นักการตลาดและผู้ประกอบการต้องคิดต่อ
- A : Asia Market มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าสู่ตลาดเอเชียที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะอาเซียน จีน และอินเดีย ผ่านช่องทาง e-commerce และการสร้างความสัมพันธ์กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
- B : Branding สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งโดยเน้นการสร้างมูลค่าและคุณค่าที่แตกต่าง มุ่งเน้นการสร้างกำไรจากลูกค้าที่เห็นคุณค่าแบรนด์มากกว่าการเน้นยอดขายเพียงอย่างเดียว
- C : Collaboration ส่งเสริมการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายฐานลูกค้าและเสริมจุดแข็งซึ่งกันและกัน
- D : Digital นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า โดยใช้ประโยชน์จากความคล่องตัวของ SMEs ในการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ 
- E : Equity ความถูกต้อง การดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความถูกต้อง เช่น ความรับผิดชอบต่อลูกค้าและสังคม การใช้ระบบบัญชีเดียว เพื่อความโปร่งใสและการเติบโตในอนาคต การดำเนินธุรกิจที่ในระยะยาวต้องสามารถสร้างกำไรได้ ไม่ใช่การเติบโตบนฐานของยอดขายจากการตัดราคา
ซึ่งสมาคมการตลาด เชื่อว่าแนวคิด A-B-C-D-E คันเร่งการตลาดสำหรับ SMEs นี้จะเป็นเข็มทิศสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.