คุยกับเจ้าของ ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน ปั้นแบรนด์อย่างไร ให้คนมาซื้อชาเย็น กินซ้ำ ๆ

คุยกับเจ้าของ ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน ปั้นแบรนด์อย่างไร ให้คนมาซื้อชาเย็น กินซ้ำ ๆ

22 ม.ค. 2024
คุยกับเจ้าของ ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน ปั้นแบรนด์อย่างไร ให้คนมาซื้อชาเย็น กินซ้ำ ๆ | BrandCase
“ไม่อกหักเพราะรักชาเย็น, กลางวันชาเย็นตอนเย็นชาบู”
หลายคนอาจจะเคยเห็น คำคมข้างแก้วเหล่านี้ในโซเชียลมีเดียกันมาบ้าง
และใครที่เป็นสาวกชาเย็น ก็คงจะรู้จักแบรนด์ชาเย็นที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในโซเชียลมีเดีย
ตอนนี้อย่างแบรนด์ “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน”
BrandCase มีโอกาสได้คุยกับเจ้าของแบรนด์ ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน คุณวิว-พันธ์ทิพย์ ดีเจริญ
เราคุยกันถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ และแนวคิดการปั้นแบรนด์ให้กลายเป็นกระแส จนคนมาต่อคิวรอเต็มหน้าร้านทุกวัน
เรื่องราวของ “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” น่าสนใจขนาดไหน ?
BrandCase สรุปให้ แบบเข้าใจง่าย ๆ
คุณวิว-พันธ์ทิพย์ ดีเจริญ เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ คณะบริหารธุรกิจ สาขา การบริหารระหว่างประเทศ โทการตลาด ในปี 2019
หลังจากเรียนจบ ตอนแรกคุณวิวมีแผน ไปเรียนต่อต่างประเทศ
แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงเกิดโรคระบาดหนัก ทำให้ไม่สามารถไปเรียนต่อได้ตามที่ตั้งใจ
คุณแม่ของคุณวิวจึงเสนอให้ลองเปิดร้านอะไรสักอย่างแถวบรรทัดทอง
เพราะว่าครอบครัวของคุณวิว ทำธุรกิจอยู่บริเวณถนนบรรทัดทองอยู่แล้ว
เป็นที่มาให้คุณวิว ตัดสินใจเปิดร้านคาเฟ
โดยใช้ชื่อแรกว่า “Better Beam café️” ลักษณะเป็นคาเฟทั่วไป ขายขนมโฮมเมด, กาแฟ และเครื่องดื่ม
ผลตอบรับก็ถือว่าดีพอสมควร แต่ผลประกอบการก็ยังไม่ได้ดีมาก แต่ก็ดีพอที่จะผ่านช่วงแรกมาได้
หลังจากสถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลายลง
ธุรกิจคาเฟเริ่มมีการแข่งขันที่สูงขึ้นและเริ่มยากขึ้น ต้องมีลูกเล่นใหม่ ๆ อยู่เสมอ และแน่นอนว่าต้องอาศัยเงินทุนจำนวนมาก
คุณวิวเลยมองหาสิ่งใหม่ ที่จะสามารถนำมาทำแบรนด์ เพื่อต่อยอดจากธุรกิจคาเฟ
ซึ่งทางร้านมีเมนูเด็ดของร้าน คือ “ชาเย็นซิกเนเชอร์”
โดยชาเย็นของทางร้าน จะไม่ใช้ใบชาทั่วไปตามท้องตลาด แต่เป็นชาสูตรเฉพาะที่นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย, อินโดนีเซีย
โดยรสชาติของชา เป็นลักษณะของการผสมกัน ระหว่างชาภาคใต้และชาภาคกลาง
ทำให้มีรสชาติที่ ละมุน ไม่เข้มเกินไป ไม่หวานเกินไป
คุณวิวเลยเลือกหยิบเมนูชาเย็นซิกเนเชอร์นี้ มาทำเป็นแบรนด์ โดยใช้ชื่อว่า “Beam Cha”
โดยเหตุผลที่ที่เลือกเมนูชาเพราะคุณวิวมองว่า ณ เวลานั้นในท้องตลาดมีแต่ชาต่างประเทศ
เช่น ชานม ชาเขียว ชาไต้หวัน แต่ ชาไทย นั้นยังมีจำนวนผู้เล่นไม่มาก
และคุณวิวคิดว่า ชาไทยเป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคยกันอยู่แล้ว
คนที่กินชาไทยก็มีจำนวนเยอะ และหลาย ๆ คนก็กินแทบทุกวัน คุณวิวเลยหยิบเมนูนี้ขึ้นมา
โดยในช่วงแรกจะเน้นการออกอิเวนต์เป็นส่วนใหญ่ โดยจะเน้นสถานที่ตั้งของสำนักงาน, ออฟฟิศ
เช่น สาทร สีลม และเพื่อเป็นการสำรวจกลุ่มลูกค้าไปในตัว
ผลตอบรับในช่วงแรกออกมาค่อนข้างดี ด้วยราคาที่ไม่สูงเกินไปและไม่ต่ำเกินไป
และมีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน ที่เป็นกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่มีกำลังในการซื้อ
คุณวิวมองเห็นโอกาสว่าสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก แต่ต้องมีการปรับเปลี่ยนแบรนด์อีกเล็กน้อย
ต่อมาในปี 2023 ตลาดจ๊อดแฟร์ กำลังได้รับความนิยมมาก
คุณวิวมองเห็นโอกาสในการเติบโต จึงลองไปจองล็อกเพื่อนำแบรนด์ชาไทยของตัวเองไปขาย
ตอนนั้น เลยตัดสินใจเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่ มาเป็น “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” ..
โดยที่มาของชื่อ มาจากการที่มองเห็นว่า เวลาคนที่กินกาแฟหรือกินชา เขาสามารถกินกันได้ทุกวัน
และชาเย็นเป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคยและกินกันอยู่แล้ว เลยใช้กิมมิกนี้ตั้งชื่อให้เป็นจุดเด่น และสะดุดตา
นอกจากชื่อแล้ว ก็ได้มีการออกแบบโลโกและเลือกฟอนต์ตัวอักษร เลือกสี ให้ดูเฟรนด์ลีเข้าถึงได้ง่าย
หลังจากได้ลองขายที่ตลาดจ๊อดแฟร์ได้เพียง 1-2 เดือน
คุณวิวก็พบว่า กลุ่มลูกค้าของตลาดกับของแบรนด์นั้นไม่ตรงกัน
โดยกลุ่มลูกค้าของแบรนด์จะเป็นกลุ่มพนักงานออฟฟิศ คือเป็นคนไทยเสียส่วนใหญ่
แต่ในทางกลับกัน คนที่มาเดินตลาดจ๊อดแฟร์นั้น ส่วนมากจะเป็นชาวต่างชาติ มีคนไทยเป็นส่วนน้อยและชาวต่างชาติส่วนมาก ก็ไม่ได้อินกับสินค้าของทางแบรนด์
ทำให้คุณวิวตัดสินใจกลับมาขายที่บรรทัดทองเหมือนเดิม
โดยได้เปลี่ยนจากร้านคาเฟเดิม ให้กลายเป็นร้าน “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” แทน
และการย้ายกลับมาครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ซึ่งประกอบขึ้นมาจากหลาย ๆ ปัจจัย
ด้วยโลเคชัน “บรรทัดทอง” ที่กำลังกลายเป็นกระแส และตรงกับกลุ่มลูกค้าของแบรนด์
ประกอบกับทั้ง ชื่อ, โลโก, สี และภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ดูเฟรนด์ลีเข้าถึงง่าย
ทั้งหมดนี้ทำให้ผลตอบรับของทางร้านพุ่งทะยานในชั่วข้ามคืน..
เมื่อคุณวิวเห็นแบบนี้ คุณวิวได้เพิ่มลูกเล่นเข้าไปอีกอย่าง ซึ่งถือว่าเป็นหมัดเด็ดพอ ๆ กับชื่อแบรนด์
คือ กระดาษสวมแก้ว ที่มีคำคมเก๋ ๆ และจะเปลี่ยนทุกเทศกาล
ทำให้เวลามีลูกค้ามาซื้อก็มักจะถ่ายลงโซเชียลมีเดียของตัวเอง จนกลายเป็นว่า ลูกค้าช่วยจุดกระแสในโซเชียลมีเดีย ให้กับแบรนด์
แต่เมื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จัก ก็ต้องพบกับความท้าทายครั้งใหม่ เพราะมีคู่แข่งหลายเจ้าเริ่มมาเปิดขายสินค้าคล้าย ๆ กัน
แต่คุณวิวก็มองว่า ความท้าทายครั้งนี้ส่งผลดีต่อแบรนด์เป็นอย่างมาก
เพราะทำให้คุณวิวพัฒนาแบรนด์อย่างต่อเนื่อง
โดยมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับลูกค้า เช่น ชาสปาร์กลิง
หมวก, เสื้อ หรือจะเป็นการคอลแลบกับแบรนด์อื่น ๆ
และในอนาคตคุณวิว ก็กำลังจะมีผลิตภัณฑ์กับแบรนด์ขนมอย่างแบรนด์ HAAB (หาบ)
ซึ่งจะทำเป็นขนมไข่ ไส้ชาเย็น และยังมีอีกหลายแบรนด์ที่กำลังตกลงเรื่องความร่วมมือกันอยู่
ปัจจุบันทางร้านมีเมนูสุดฮิตที่ใครมาก็ต้องซื้ออยู่ 3 เมนู คือ
1.ชาเย็นซิกเนเจอร์ ราคา 70 บาท
2.ลิ้นจี่ เบบี้ ราคา ราคา 85 บาท
3.สเลอปี้ชาเย็น + ไข่มุก ราคา 90 บาท
แล้วกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ ให้โดดเด่นในตลาดสไตล์ของคุณวิว มีอะไรบ้าง ? BrandCase สรุปเป็นข้อ ๆ ให้คือ
ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปในแบรนด์ และใส่ใจกับดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ
ยกตัวอย่างเช่น กระดาษสวมแก้ว ที่มาพร้อมกับคำคมสะดุดตาที่เวลาลูกค้าเห็นก็อดที่จะไม่ถ่ายลงโซเชียลมีเดียก็ไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นวลี เช่น ไม่อกหักเพราะรักชาเย็น, กลางวันชาเย็นตอนเย็นชาบู
โดยคุณวิวบอกว่า ลงทุนกับกระดาษสวมแก้วเป็นจำนวนเงิน 5 บาทต่อชิ้น และคิดว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเมื่อเทียบผลตอบรับที่ได้
เพราะดีเทลตรงนี้ สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ และกระตุ้นการบอกต่อ โดยที่แบรนด์ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาเลย
อย่าไปเลียนแบบคนอื่น ให้สร้างภาพจำ สร้างตัวตนของแบรนด์ ที่มาจากตัวเราเอง
เราจะเห็นโลโกของแบรนด์ที่เป็นเอกลักษณ์ ที่เวลาใครเห็นก็จะนึกถึง “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” ทันที
คุณวิวบอกว่า “ตั้งแต่ โลโก, สี, ฟอนต์อักษร คุณวิวเป็นคนทำเองหมดเลย จะมีแต่รูปเด็กผู้ชายที่เพื่อนช่วยวาดให้”
ทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่อยากให้เป็น สะท้อนตัวตนออกมาได้จริง ๆ และไม่ซ้ำใคร
โดยปัจจุบัน เราสามารถซื้อสินค้าของทางร้านได้ที่ 3 สาขา คือ
ถนนบรรทัดทอง 2 สาขา, ตลาดรวมทรัพย์ อโศก และช่องทาง Line Official ของทางร้าน
และในวันที่ 10 มกราคม ที่ผ่านมา ทางแบรนด์ก็เพิ่งเปิดสาขาใหม่ที่ แฟชั่นไอส์แลนด์
หรือสามารถซื้อได้ตาม Event ต่าง ๆ ที่ทางแบรนด์ไปร่วม เช่น
เดือนมกราคมที่ สยามพารากอนเดือนมีนาคมที่ เซนทรัล ลาดพร้าว , เมกะ บางนาเดือนเมษายนที่ เดอะมอลบางกระปิ
แล้วอนาคตข้างหน้า “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” มีแผนจะทำอะไรอีกบ้าง ?
คุณวิวเล่าว่า
“จะพยายามขยายสาขาตามจุดสำคัญ ๆ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะเน้นการทำธุรกิจกับ B2B และ หรือ B2C ในรูปแบบอื่น ๆ มากขึ้น ”
ส่วนในคำถามว่า จะมีการขยายสาขาไปต่างจังหวัดไหม หรือจะปรับไปเป็นโมเดลแฟรนไชส์หรือไม่ ?
“การขยายสาขาไปในต่างจังหวัด อาจจะใช้เวลา 1-2 ปี เพราะต้องการทำหลังบ้านให้แน่นกว่านี้ก่อน โดยอยากจะส่งทุกอย่างออกจากครัวกลาง เพื่อควบคุมคุณภาพของสินค้า
ในส่วนของการขายแฟรนไชส์ ก็มีคิด ๆ อยู่บ้าง แต่ตอนนี้ยังไม่กล้าขาย เพราะกลัวเรื่องการควบคุมคุณภาพสินค้า”
และในอนาคตเราน่าจะเห็น “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” คอลแลบกับแบรนด์ดัง ๆ มากขึ้น
หรือมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจออกมาอีกก็ได้
“ในอนาคตเราอาจจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น ผงชงพร้อมดื่ม แบบ 3 in 1 หรือ แบบขวดพร้อมดื่ม ” คุณวิว พันธ์ทิพย์ ดีเจริญ กล่าวทิ้งท้าย..
Reference
-สัมภาษณ์พิเศษ คุณวิว-พันธ์ทิพย์ ดีเจริญ เจ้าของแบรนด์ ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน
© 2024 BrandCase. All rights reserved. Privacy Policy.