ญี่ปุ่น ปลดล็อกท้องถิ่นอย่างไร ให้ใช้พลังของตัวเอง ได้เต็มที่
26 พ.ค. 2023
ญี่ปุ่น ปลดล็อกท้องถิ่นอย่างไร ให้ใช้พลังของตัวเอง ได้เต็มที่ | BrandCase
รู้หรือไม่ว่า โครงการ หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือ One Village One Product (OVOP) ในประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นตัวอย่างให้ OTOP ของไทย
เกิดขึ้นที่แรก ที่หมู่บ้านโอยามะ จังหวัดโออิตะ และได้รับการผลักดันจนเป็นนโยบายระดับประเทศ
เกิดขึ้นที่แรก ที่หมู่บ้านโอยามะ จังหวัดโออิตะ และได้รับการผลักดันจนเป็นนโยบายระดับประเทศ
นี่เป็นแค่ตัวอย่างแรก ที่สะท้อนว่า
ท้องถิ่นญี่ปุ่น สามารถใช้พลังของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างอะไรใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์กับตัวเองและประเทศได้
ท้องถิ่นญี่ปุ่น สามารถใช้พลังของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างอะไรใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์กับตัวเองและประเทศได้
ส่วนหนึ่งที่เป็นแบบนี้ เพราะ ญี่ปุ่น เริ่มกระจายอำนาจจากรัฐบาลส่วนกลาง ไปให้ท้องถิ่นช่วยดูแลมากขึ้น มาเป็นร้อยกว่าปีแล้ว
ทีนี้คำถามคือ ญี่ปุ่น กระจายอำนาจไปยังท้องถิ่นอย่างไร
แล้วเทียบกับไทยตอนนี้ เป็นอย่างไร ?
BrandCase จะสรุปให้อ่านกัน
แล้วเทียบกับไทยตอนนี้ เป็นอย่างไร ?
BrandCase จะสรุปให้อ่านกัน
ญี่ปุ่น เริ่มมีการกระจายอำนาจ ตั้งแต่ยุคเมจิ ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 หรือก็คือ ประมาณสมัยรัชกาลที่ 5 ของไทย
โดยก่อนหน้านั้น รัฐบาลกลาง ยังเป็นผู้กำหนดนโยบายให้ทุกภาคส่วนของประเทศ เช่น สิ่งเพาะปลูกต่าง ๆ ของประชาชนในท้องถิ่น
ซึ่งต้องบอกว่าในเวลานั้น แต่ละพื้นที่ของญี่ปุ่น ยังคงเป็นเพียงชุมชนหรือหมู่บ้านขนาดเล็ก ซึ่งยังไม่ค่อยเป็นสังคมเมืองเท่าไรนัก
ในช่วงเวลานั้นเอง รัฐบาลได้มีนโยบายที่จะควบคุมชุมชนดั้งเดิม
ที่มีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก ๆ ให้เป็นเทศบาลต่าง ๆ ที่มีขนาดประมาณ 300-500 ครัวเรือน
ที่มีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก ๆ ให้เป็นเทศบาลต่าง ๆ ที่มีขนาดประมาณ 300-500 ครัวเรือน
ภายหลังจากการควบรวมชุมชนดั้งเดิม ก็ทำให้ญี่ปุ่น
สามารถควบรวมชุมชน หรือหมู่บ้านต่าง ๆ กว่า 71,314 แห่ง
ให้กลายเป็นเทศบาล 15,859 แห่งในปี 1889
สามารถควบรวมชุมชน หรือหมู่บ้านต่าง ๆ กว่า 71,314 แห่ง
ให้กลายเป็นเทศบาล 15,859 แห่งในปี 1889
โดยเทศบาลต่าง ๆ นั้นก็ยังขึ้นอยู่กับรัฐบาลจากส่วนกลางเป็นหลัก โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ดูแลหลัก ประจำพื้นที่นั้น ๆ
ต่อมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่น ต้องการจะฟื้นฟูประเทศ
ซึ่งในช่วงเวลานั้น ญี่ปุ่น ก็ได้เริ่มนำรูปแบบการปกครองแบบกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ตามรูปแบบการปกครองของสหรัฐอเมริกา
โดยญี่ปุ่น ได้เริ่มออกกฎหมายท้องถิ่น ที่มีชื่อว่า Local Autonomy ขึ้นในปี 1947
ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ ก็ได้กำหนดโครงสร้างใหม่ของการบริหารส่วนท้องถิ่น
ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ ก็ได้กำหนดโครงสร้างใหม่ของการบริหารส่วนท้องถิ่น
โครงสร้างที่ว่า คือการกระจายอำนาจของรัฐบาลกลาง ไปให้องค์กรท้องถิ่น ช่วยดูแลมากขึ้น
เช่น เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา สาธารณสุข ไปจนถึงเศรษฐกิจภายในท้องถิ่น
และจัดให้มีการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น ในพื้นที่ของตัวเอง
และจัดให้มีการเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น ในพื้นที่ของตัวเอง
พร้อมกับยกเลิกกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นกระทรวงที่ดูแลกิจการของแต่ละท้องถิ่นต่าง ๆ
และเปลี่ยนไปเป็นกระทรวงกิจการภายใน ที่มีหน้าที่ควบคุมรัฐบาลท้องถิ่นแทน
และเปลี่ยนไปเป็นกระทรวงกิจการภายใน ที่มีหน้าที่ควบคุมรัฐบาลท้องถิ่นแทน
ในเวลาต่อมา ทางรัฐบาลญี่ปุ่น ก็ยังพัฒนากฎหมาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเทศบาลมากขึ้น
ด้วยการออกกฎหมายควบรวมเทศบาลขนาดเล็ก (Municipal Merger Promotion Law) ในปี 1953
ด้วยการออกกฎหมายควบรวมเทศบาลขนาดเล็ก (Municipal Merger Promotion Law) ในปี 1953
เพื่อให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องทุ่มงบประมาณ ไปกับหลาย ๆ เทศบาล มากเกินความจำเป็น
และสามารถออกนโยบายให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้เหมาะสมกับคนในพื้นที่
และสามารถออกนโยบายให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้เหมาะสมกับคนในพื้นที่
นอกจากนี้ ทางรัฐบาลกลางญี่ปุ่นก็ยังเปิดโอกาสให้เทศบาล ที่มาควบรวมกัน มีอำนาจหน้าที่ในการทำภารกิจต่าง ๆ ด้วยตัวเองมากขึ้น เช่น
-การอนุญาตให้เทศบาลที่ควบรวมกันแล้ว มีประชากรมากกว่า 8,000 คน สามารถจัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้
การปรับโครงสร้างแบบนี้ ทำให้จำนวนเทศบาลในญี่ปุ่น ลดลงเหลือเพียง 3,472 เทศบาล
หรือลดลงเหลือเพียง 1 ใน 5 ของจำนวนเทศบาลในญี่ปุ่นทั้งหมด
หรือลดลงเหลือเพียง 1 ใน 5 ของจำนวนเทศบาลในญี่ปุ่นทั้งหมด
ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1960s เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มเติบโตขึ้น
คนหนุ่มสาวเริ่มย้ายจากชนบท ไปทำงานในเมืองใหญ่อย่างโตเกียว ทำให้เศรษฐกิจภายในชนบทซบเซาเป็นอย่างมาก
คนหนุ่มสาวเริ่มย้ายจากชนบท ไปทำงานในเมืองใหญ่อย่างโตเกียว ทำให้เศรษฐกิจภายในชนบทซบเซาเป็นอย่างมาก
จากเหตุการณ์นี้ ทำให้หลาย ๆ หมู่บ้านในญี่ปุ่น ได้เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของตัวเอง
จนเกิดเป็นโครงการที่มีชื่อว่า “One Village One Product” หรือ หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OVOP) ขึ้น
จนเกิดเป็นโครงการที่มีชื่อว่า “One Village One Product” หรือ หนึ่งหมู่บ้าน หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OVOP) ขึ้น
ซึ่งโครงการนี้ เป็นโครงการที่ตั้งใจนำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น มาเพิ่มมูลค่าและพัฒนาให้เป็นธุรกิจ เพื่อนำรายได้มายกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน
โดยโครงการนี้ ได้เริ่มต้นที่หมู่บ้านโอยามะ จังหวัดโออิตะ เป็นแห่งแรก แล้วค่อย ๆ กระจายไปทั่วญี่ปุ่น
ซึ่งในตอนนี้ OVOP เอง ก็ทำให้สินค้าท้องถิ่นต่าง ๆ ในญี่ปุ่น โด่งดังไปทั่วโลก
ถ้าใครไปเที่ยวญี่ปุ่นตามภูมิภาคต่าง ๆ ก็คงจะรู้จักของอร่อย ๆ จากจังหวัดนั้น ๆ เช่น
ถ้าใครไปเที่ยวญี่ปุ่นตามภูมิภาคต่าง ๆ ก็คงจะรู้จักของอร่อย ๆ จากจังหวัดนั้น ๆ เช่น
-นมที่อร่อยที่สุด ต้องจังหวัดฮอกไกโด
-แอปเปิลที่ดีที่สุด ต้องจังหวัดอาโอโมริ
-เมลอนที่หวานฉ่ำที่สุด ต้องจังหวัดอิบารากิ
ซึ่งต่อมา โครงการ OVOP ก็ได้เป็นโครงการต้นแบบ ที่รัฐบาลหลาย ๆ ประเทศได้นำไปปรับใช้เป็นนโยบาย
ในประเทศไทย ก็คือ โครงการ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ หรือ OTOP
นอกจากนี้ ท้องถิ่นแต่ละแห่ง ก็ยังสามารถจัดเก็บภาษีต่าง ๆ ได้เอง
ซึ่งภาษีที่น่าสนใจของญี่ปุ่น คือภาษี Hometown Tax ที่เพิ่งนำมาใช้เมื่อ 15 ปีก่อน
ซึ่งภาษีที่น่าสนใจของญี่ปุ่น คือภาษี Hometown Tax ที่เพิ่งนำมาใช้เมื่อ 15 ปีก่อน
เป็นระบบภาษีที่ประชาชนสามารถตัดสินใจได้ว่า จะมอบเงินให้แก่จังหวัดหรือพื้นที่ใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นบ้านเกิด หรือที่อยู่ปัจจุบันของตัวเอง
เพื่อแลกกับของฝาก ที่เป็นสินค้า OVOP หรือบริการต่าง ๆ ที่แต่ละท้องถิ่นนั้นเสนอให้เป็นการตอบแทน
เพื่อแลกกับของฝาก ที่เป็นสินค้า OVOP หรือบริการต่าง ๆ ที่แต่ละท้องถิ่นนั้นเสนอให้เป็นการตอบแทน
ปัจจุบัน รัฐบาลท้องถิ่นญี่ปุ่น ก็มี 2 ระดับด้วยกัน นั่นคือ
1.ระดับจังหวัด (Prefectures) ซึ่งก็จะมีทั้งหมด 47 จังหวัดด้วยกัน รวมเขตการปกครองพิเศษโตเกียวไปด้วย
2.ระดับเทศบาล (Municipalities) ซึ่งก็คือเมืองหรือชุมชน ในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งเทศบาลก็จะแบ่งเป็น 6 ระดับ ตามขนาดของเมือง นั่นคือ
-เทศบาลมหานคร
เป็นเทศบาลขนาดใหญ่ที่สุด เป็นเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในญี่ปุ่น
เป็นเทศบาลขนาดใหญ่ที่สุด เป็นเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในญี่ปุ่น
ส่วนใหญ่จะเป็นเมืองชื่อดังคุ้นหู ที่เรารู้จักกันดี
เช่น เมืองโอซากา เมืองฟูกูโอกะ และเมืองซับโปโระ
ซึ่งเมืองเหล่านี้ต้องมีประชากรมากกว่า 500,000 คนขึ้นไป ปัจจุบันมีเทศบาลระดับนี้กว่า 20 แห่ง
เช่น เมืองโอซากา เมืองฟูกูโอกะ และเมืองซับโปโระ
ซึ่งเมืองเหล่านี้ต้องมีประชากรมากกว่า 500,000 คนขึ้นไป ปัจจุบันมีเทศบาลระดับนี้กว่า 20 แห่ง
-เทศบาลนครศูนย์กลาง
เป็นเมืองที่มีขนาดรองลงมา ที่มีประชากรมากกว่า 300,000 คน ปัจจุบันมีเทศบาลระดับนี้กว่า 60 แห่ง
เป็นเมืองที่มีขนาดรองลงมา ที่มีประชากรมากกว่า 300,000 คน ปัจจุบันมีเทศบาลระดับนี้กว่า 60 แห่ง
-เทศบาลนครพิเศษ
เป็นเมืองขนาดใหญ่ ที่มีประชากรมากกว่า 200,000 คน ปัจจุบันมี 25 แห่ง
เป็นเมืองขนาดใหญ่ ที่มีประชากรมากกว่า 200,000 คน ปัจจุบันมี 25 แห่ง
-เทศบาลนคร
เป็นเมืองขนาดกลาง ที่มีประชากรมากกว่า 50,000 คน ปัจจุบันมี 792 แห่ง
เป็นเมืองขนาดกลาง ที่มีประชากรมากกว่า 50,000 คน ปัจจุบันมี 792 แห่ง
-และถ้าเมืองไหนที่ยังมีขนาดเล็ก ที่มีประชากรน้อยกว่า 50,000 คน ก็ให้จัดเป็น เทศบาลเมือง และเทศบาลหมู่บ้าน
ถึงตรงนี้ ถ้าย้อนกลับมาดูที่ไทย
ก็ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ ไทยเองก็เริ่มมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเช่นเดียวกัน
ก็ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ ไทยเองก็เริ่มมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเช่นเดียวกัน
โดยเริ่มจากสุขาภิบาล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่ก็มีมาช้านานแล้ว
แต่การกระจายอำนาจการปกครองไปยัง อบต. หรือเทศบาลต่าง ๆ เพิ่งมี พ.ร.บ. บังคับใช้แบบจริงจัง เมื่อปี 2542 หรือเมื่อ 24 ปีก่อน
โดยให้อำนาจกับพื้นที่อำเภอ หรือตำบลต่าง ๆ ในการจัดทำนโยบายสาธารณะ
และท้องถิ่นนั้น ก็สามารถเลือกตั้งได้
และท้องถิ่นนั้น ก็สามารถเลือกตั้งได้
ซึ่งถ้าย้อนกลับมาดูที่ประเทศไทย
ปัจจุบันก็จะมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2 ระดับคล้าย ๆ กับญี่ปุ่นเช่นกัน นั่นคือ
ปัจจุบันก็จะมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2 ระดับคล้าย ๆ กับญี่ปุ่นเช่นกัน นั่นคือ
ระดับจังหวัด
มีองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่ดูแลระดับจังหวัด มี 76 แห่ง ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ (ไม่นับรวม กรุงเทพมหานคร ที่เป็นเขตการปกครองพิเศษ)ระดับตำบล
จะแบ่งพื้นที่เขตเมือง ที่เป็นชุมชนใหญ่ เป็นเขตเทศบาล
มีองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่ดูแลระดับจังหวัด มี 76 แห่ง ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ (ไม่นับรวม กรุงเทพมหานคร ที่เป็นเขตการปกครองพิเศษ)ระดับตำบล
จะแบ่งพื้นที่เขตเมือง ที่เป็นชุมชนใหญ่ เป็นเขตเทศบาล
และพื้นที่ตำบลไหน ที่ยังเป็นหมู่บ้าน หรือพื้นที่ชนบท
ก็จะมีองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) คอยดูแลพื้นที่ตำบลนั้น ๆ
ก็จะมีองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) คอยดูแลพื้นที่ตำบลนั้น ๆ
และยังมีองค์กรท้องถิ่น ที่เป็นเขตการปกครองพิเศษอยู่ 2 แห่ง คือ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา
ซึ่งองค์กรท้องถิ่นเหล่านี้ จะดูแลคนในพื้นที่ในด้านต่าง ๆ ที่จำเป็น เช่น ด้านการศึกษา ด้านการขนส่ง ด้านสิ่งแวดล้อม
ไปจนถึงการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น การสร้างสนามกีฬา และสวนสาธารณะ
โดยท้องถิ่นเหล่านี้ สามารถเรียกเก็บภาษีจากคนในพื้นที่ได้
โดยท้องถิ่นเหล่านี้ สามารถเรียกเก็บภาษีจากคนในพื้นที่ได้
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเหล่านี้ รวมอยู่มากกว่า 7,850 แห่ง
ซึ่งมากกว่าองค์กรท้องถิ่นในประเทศญี่ปุ่นเสียอีก
โดยส่วนใหญ่ยังเป็น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)
ซึ่งมากกว่าองค์กรท้องถิ่นในประเทศญี่ปุ่นเสียอีก
โดยส่วนใหญ่ยังเป็น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.)
ถึงแม้ว่า ประเทศไทยจะมีองค์กรท้องถิ่นมากมายขนาดนี้ แต่องค์กรท้องถิ่นส่วนใหญ่ ยังคงเป็นองค์กรขนาดเล็ก
ที่มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ ให้กับคนในพื้นที่ค่อนข้างน้อย
ที่มีอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ ให้กับคนในพื้นที่ค่อนข้างน้อย
ซึ่งการบริหาร และการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายต่าง ๆ
ส่วนใหญ่ก็ยังขึ้นอยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัด ที่กำหนดมาจากส่วนกลางอีกที
ส่วนใหญ่ก็ยังขึ้นอยู่กับผู้ว่าราชการจังหวัด ที่กำหนดมาจากส่วนกลางอีกที
นั่นหมายความว่า ปัจจุบันใน 1 จังหวัด ก็จะมีผู้บริหาร 2 คน นั่นคือ
ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)
ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)
อย่างไรก็ตาม จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา
จะเห็นได้ว่า หลาย ๆ พรรคก็เริ่มมีนโยบายสนับสนุนการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดมากขึ้น
จะเห็นได้ว่า หลาย ๆ พรรคก็เริ่มมีนโยบายสนับสนุนการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดมากขึ้น
ซึ่งถ้าสามารถทำได้ ก็จะนำไปสู่การปกครองในรูปแบบใหม่ นั่นคือ
จะได้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นคนพื้นที่จริง ๆ มาเป็นผู้บริหารแค่คนเดียว เหมือนกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
จะได้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นคนพื้นที่จริง ๆ มาเป็นผู้บริหารแค่คนเดียว เหมือนกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
แต่แม้ว่าการกระจายอำนาจ สู่ท้องถิ่นต่าง ๆ จะเป็นเรื่องที่ดี
เพราะผู้บริหารท้องถิ่น ที่มาจากบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งก็น่าจะเข้าใจความต้องการ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
เพราะผู้บริหารท้องถิ่น ที่มาจากบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งก็น่าจะเข้าใจความต้องการ และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
สามารถใช้นโยบายพัฒนาและแก้ปัญหาในพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงพัฒนาเศรษฐกิจ และธุรกิจภายในท้องถิ่นได้อย่างตรงจุด
แต่ท้องถิ่น จำเป็นต้องมีองค์กรคอยตรวจสอบ เพื่อถ่วงดุลอำนาจ และตรวจสอบการทำหน้าที่ของผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากที่สุด
และประชาชน จะได้รับประโยชน์จากนโยบายต่าง ๆ ที่ผู้บริหารท้องถิ่นได้วางไว้มากที่สุด เช่นเดียวกัน..
References
-การปกครองส่วนท้องถิ่นของญี่ปุ่น โดย สุมิทธิ์ เกศวพิทักษ์
-https://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2562/jps90462bydas_ch2.pdf
-http://web.krisdika.go.th/data/news/news64.pdf
-https://www.brandcase.co/39335
-https://th.wikipedia.org/wiki/นครที่ตั้งขึ้นโดยข้อบัญญัติรัฐบาลญี่ปุ่น
-https://election66.moveforwardparty.org/policy/detail/policy_58
-https://www.longtunman.com/35881
-การปกครองส่วนท้องถิ่นของญี่ปุ่น โดย สุมิทธิ์ เกศวพิทักษ์
-https://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2562/jps90462bydas_ch2.pdf
-http://web.krisdika.go.th/data/news/news64.pdf
-https://www.brandcase.co/39335
-https://th.wikipedia.org/wiki/นครที่ตั้งขึ้นโดยข้อบัญญัติรัฐบาลญี่ปุ่น
-https://election66.moveforwardparty.org/policy/detail/policy_58
-https://www.longtunman.com/35881
Tag:ญี่ปุ่น