Work-Life Balance หนทางของความสบาย แต่อาจไม่ใช่ ทางสู่ความสำเร็จ
2 ต.ค. 2021
Work-Life Balance หนทางของความสบาย แต่อาจไม่ใช่ ทางสู่ความสำเร็จ | THE BRIEFCASE
Work-Life Balance คือการที่เราสามารถจัดการชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัวให้สมดุลกันอย่างพอดิบพอดี ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนหลายคนใฝ่ฝัน
บางคนอาจจะแบ่งเวลาชีวิตง่าย ๆ ด้วยการทำงานแค่เฉพาะในเวลางานเท่านั้น เมื่อหมดชั่วโมงการทำงานก็หยุดการทำงานทุกอย่าง และไปใช้ชีวิตของตัวเอง
ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากทำงานในสายอาชีพที่มีงานแบบเป็นกิจจะลักษณะ ก็น่าจะทำแบบนี้ได้ไม่ยาก
แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังมีสายอาชีพที่ไม่สามารถทำงานในลักษณะนั้นได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เวลางานต้องมาเบียดเบียนเวลาส่วนตัวออกไป จนทำให้หลายคนรู้สึกเหนื่อยล้า
แม้ว่า Work-Life Balance จะเป็นหนทางที่จะทำให้เรารู้สึกสบายขึ้นจากการทำงาน
แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่มีความฝันและอยากประสบความสำเร็จ เป็นคนเก่งในหน้าที่การงาน
ก็ต้องยอมรับว่า Work-Life Balance อาจจะไม่ใช่ สิ่งที่จะนำไปสู่เป้าหมายนั้น..
วันนี้ THE BRIEFCASE จึงอยากจะพาทุกคนมาดูอีกมุมหนึ่ง
ว่าการยอมสละ Work-Life Balance ของเราไปบ้าง จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้อย่างไร ?
- การทำงานหนัก ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่พอใจกับงานที่มีอยู่ตรงหน้า ไม่ได้อยากจะพัฒนาอะไร การทำงานในเวลางานก็คงเพียงพอแล้ว
แต่ถ้าหากว่าคุณอยากจะพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นในด้านการงาน การที่เราทำงานหนักขึ้น เพื่อศึกษางานที่ตนเองทำให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของงาน ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ดีมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าในตอนนี้เราอาจจะยังไม่ได้เห็นว่าการทำงานหนักนั้นส่งผลออกมาเป็นเม็ดเงิน แต่เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงแล้ว สิ่งที่เราลงแรงไปย่อมส่งผลดีต่ออนาคตอย่างแน่นอน
- การขยันที่สุดในหมู่คนรอบตัวไม่ใช่เรื่องแปลก
ถ้าหากว่าในบรรดาเพื่อน ๆ คนรอบตัว ไม่มีใครทำงานเกินเวลาเลย มีแค่เพียงเราเท่านั้น
การที่เราจะเป็นคนที่ทำงานหนักที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเรามีเป้าหมายที่อยากไปให้ถึง
“ถ้าเราเป็นคนแบบไหน เราก็จะดึงดูดคนแบบนั้นเข้าหาตัว” ประโยคนี้เป็นประโยคที่ไม่ผิดเท่าไรนัก เพราะเมื่อเราได้เข้าไปอยู่ในแวดล้อมของคนที่ขยันมาก ๆ พอ ๆ กัน
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็จะยิ่งช่วยเป็นแรงผลักดันให้เรายิ่งอยากขยันให้มากขึ้น และอาจจะช่วยขับเคลื่อน
ให้เราสามารถไปถึงเป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้ได้เร็วขึ้นอีกด้วย
- เปลี่ยนคำว่า “ทำงานหนัก” ให้เป็น “ทำงานสนุก”
ถ้าหากว่าในขณะที่เราทำงานแล้วรู้สึกว่า เหนื่อยกับงานเหลือเกิน ก็อาจเป็นเพราะว่า เรามองว่ามันคือ งาน หรือ หน้าที่ ที่เราจำเป็นต้องทำให้ลุล่วงไป
ในด้านหนึ่งหากเราไม่ได้ทำงานที่ชอบ ก็อาจจะทำให้เราเปลี่ยนมุมมองของเราได้ยาก แต่ถ้าหากว่าเราสามารถเปลี่ยนมุมมอง หรือเปลี่ยนงานจาก “งานที่ต้องทำ” เป็น “งานที่เรารัก” จากความเหนื่อยในการทำงาน ก็อาจจะกลายเป็นความสนุกในการทำงานไปจนลืมเหนื่อยก็ได้
ทั้งนี้ไม่ว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน ก็ขอแค่ให้มีความสุขในชีวิตและงานที่ทำก็เพียงพอแล้ว
และในคำว่า Work-Life Balance เองก็ไม่ได้มีกำหนดตายตัวว่าเราต้องแบ่งเวลาเท่าไร ๆ
ขอแค่เวลาที่เราจัดการไว้ทำให้เรามีความสุขและพาไปถึงเป้าหมายได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
สำคัญที่สุดคือ งานหนักที่เราทำนั้น เราต้องรู้ตัวด้วยว่า ทำไปแล้วมันช่วยพัฒนาความสามารถเรา ช่วยให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น
ไม่ใช่ทำงานหนักแบบหามรุ่งหามค่ำ แต่ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาเลย..
References
-https://www.entrepreneur.com/article/386928
-https://www.businessnewsdaily.com/5244-improve-work-life-balance-today.html
Work-Life Balance คือการที่เราสามารถจัดการชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัวให้สมดุลกันอย่างพอดิบพอดี ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เงินเดือนหลายคนใฝ่ฝัน
บางคนอาจจะแบ่งเวลาชีวิตง่าย ๆ ด้วยการทำงานแค่เฉพาะในเวลางานเท่านั้น เมื่อหมดชั่วโมงการทำงานก็หยุดการทำงานทุกอย่าง และไปใช้ชีวิตของตัวเอง
ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากทำงานในสายอาชีพที่มีงานแบบเป็นกิจจะลักษณะ ก็น่าจะทำแบบนี้ได้ไม่ยาก
แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังมีสายอาชีพที่ไม่สามารถทำงานในลักษณะนั้นได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เวลางานต้องมาเบียดเบียนเวลาส่วนตัวออกไป จนทำให้หลายคนรู้สึกเหนื่อยล้า
แม้ว่า Work-Life Balance จะเป็นหนทางที่จะทำให้เรารู้สึกสบายขึ้นจากการทำงาน
แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่มีความฝันและอยากประสบความสำเร็จ เป็นคนเก่งในหน้าที่การงาน
ก็ต้องยอมรับว่า Work-Life Balance อาจจะไม่ใช่ สิ่งที่จะนำไปสู่เป้าหมายนั้น..
วันนี้ THE BRIEFCASE จึงอยากจะพาทุกคนมาดูอีกมุมหนึ่ง
ว่าการยอมสละ Work-Life Balance ของเราไปบ้าง จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้อย่างไร ?
- การทำงานหนัก ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่พอใจกับงานที่มีอยู่ตรงหน้า ไม่ได้อยากจะพัฒนาอะไร การทำงานในเวลางานก็คงเพียงพอแล้ว
แต่ถ้าหากว่าคุณอยากจะพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นในด้านการงาน การที่เราทำงานหนักขึ้น เพื่อศึกษางานที่ตนเองทำให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของงาน ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ดีมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าในตอนนี้เราอาจจะยังไม่ได้เห็นว่าการทำงานหนักนั้นส่งผลออกมาเป็นเม็ดเงิน แต่เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึงแล้ว สิ่งที่เราลงแรงไปย่อมส่งผลดีต่ออนาคตอย่างแน่นอน
- การขยันที่สุดในหมู่คนรอบตัวไม่ใช่เรื่องแปลก
ถ้าหากว่าในบรรดาเพื่อน ๆ คนรอบตัว ไม่มีใครทำงานเกินเวลาเลย มีแค่เพียงเราเท่านั้น
การที่เราจะเป็นคนที่ทำงานหนักที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเรามีเป้าหมายที่อยากไปให้ถึง
“ถ้าเราเป็นคนแบบไหน เราก็จะดึงดูดคนแบบนั้นเข้าหาตัว” ประโยคนี้เป็นประโยคที่ไม่ผิดเท่าไรนัก เพราะเมื่อเราได้เข้าไปอยู่ในแวดล้อมของคนที่ขยันมาก ๆ พอ ๆ กัน
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็จะยิ่งช่วยเป็นแรงผลักดันให้เรายิ่งอยากขยันให้มากขึ้น และอาจจะช่วยขับเคลื่อน
ให้เราสามารถไปถึงเป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้ได้เร็วขึ้นอีกด้วย
- เปลี่ยนคำว่า “ทำงานหนัก” ให้เป็น “ทำงานสนุก”
ถ้าหากว่าในขณะที่เราทำงานแล้วรู้สึกว่า เหนื่อยกับงานเหลือเกิน ก็อาจเป็นเพราะว่า เรามองว่ามันคือ งาน หรือ หน้าที่ ที่เราจำเป็นต้องทำให้ลุล่วงไป
ในด้านหนึ่งหากเราไม่ได้ทำงานที่ชอบ ก็อาจจะทำให้เราเปลี่ยนมุมมองของเราได้ยาก แต่ถ้าหากว่าเราสามารถเปลี่ยนมุมมอง หรือเปลี่ยนงานจาก “งานที่ต้องทำ” เป็น “งานที่เรารัก” จากความเหนื่อยในการทำงาน ก็อาจจะกลายเป็นความสนุกในการทำงานไปจนลืมเหนื่อยก็ได้
ทั้งนี้ไม่ว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน ก็ขอแค่ให้มีความสุขในชีวิตและงานที่ทำก็เพียงพอแล้ว
และในคำว่า Work-Life Balance เองก็ไม่ได้มีกำหนดตายตัวว่าเราต้องแบ่งเวลาเท่าไร ๆ
ขอแค่เวลาที่เราจัดการไว้ทำให้เรามีความสุขและพาไปถึงเป้าหมายได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
สำคัญที่สุดคือ งานหนักที่เราทำนั้น เราต้องรู้ตัวด้วยว่า ทำไปแล้วมันช่วยพัฒนาความสามารถเรา ช่วยให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น
ไม่ใช่ทำงานหนักแบบหามรุ่งหามค่ำ แต่ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาเลย..
References
-https://www.entrepreneur.com/article/386928
-https://www.businessnewsdaily.com/5244-improve-work-life-balance-today.html